สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
Responsive image

กรมควบคุมโรค จับมือจังหวัดเชียงราย นำร่องจังหวัดต้นแบบ ขับเคลื่อนยุติปัญหาเอดส์ระดับจังหวัด

          วานนี้ (25 พฤศจิกายน 2564) ที่โรงแรมเฮอริเทจเชียงราย จังหวัดเชียงราย นายบัญชา เชาวรินทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เปิดโครงการเครือข่ายการขับเคลื่อนยุติปัญหาเอดส์ระดับจังหวัด “Empowering & Collaborating for Ending AIDS” ร่วมกับศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข และสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) เพื่อเป็นเวทีในการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การดำเนินงานด้านเอดส์ของจังหวัดเชียงราย โดยความร่วมมือของภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงาน มุ่งสู่การเป็นจังหวัดยุติเอดส์

          นายบัญชา เชาวรินทร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเป็นจังหวัดยุติเอดส์ในปี 2573 จังหวัดเชียงรายได้กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนปัญหาเอดส์จังหวัดเชียงราย ดังนี้ 1.ลดการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ รณรงค์สร้างความเข้าใจให้ประชาชนทั่วไปในเรื่องเอชไอวี พร้อมจัดบริการที่เป็นมิตร ให้การปรึกษาและตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี ส่งเสริมสถานศึกษาให้มีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องเพศศึกษา ทักษะชีวิตอนามัยการเจริญพันธุ์  2.ลดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อเอชไอวี รักษาผู้ติดเชื้อทุกคนด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี โดยเริ่มยาให้เร็วและตรวจวินิจฉัยติดตามทารกที่คลอดจากแม่ติดเชื้อ สนับสนุนให้ผู้ติดเชื้อกินยาสม่ำเสมอตลอดชีวิต ลดการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศสภาวะ โดยไม่มีการบังคับตรวจหาเชื้อเอชไอวี และต้องไม่เอามาเป็นเงื่อนไขในการรับสมัครหรือให้ออก เพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานหรือเข้าเรียน หรือประกอบการเลื่อนตำแหน่ง รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เพื่อให้บุคคลเข้ารับการอุปสมบทได้ โดยไม่ต้องใช้ผลตรวจเอชไอวี และส่งเสริมให้ลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีในชุมชน

          นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า กรมควบคุมโรคเล็งเห็นความสำคัญในการเร่งรัดการดำเนินงานยุติเอดส์ โดยสนับสนุนให้มีการขับเคลื่อนเครือข่ายทำงานในระดับจังหวัด เพื่อให้เป็นจังหวัดต้นแบบ โดยมีวัตถุประสงค์ให้มีการประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ในการดำเนินงานป้องกันแก้ไขปัญหาเอดส์อย่างเข้มข้นให้บรรลุเป้าหมาย “จังหวัดยุติเอดส์” โดยใช้กระบวนการพัฒนาคุณภาพสถานพยาบาลในรูปแบบเครือข่ายระดับจังหวัด ยกระดับคุณภาพการบริการและพัฒนาระบบส่งต่ออย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งภาครัฐ เอกชน ให้ครอบคลุมทุกสิทธิประโยชน์ นอกจากนี้ยังเร่งหาแนวทางการดูแลให้กับคนที่ไร้สิทธิ์ เพื่อให้ครอบคลุมทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย พร้อมทั้งปรับปรุง ลดช่องว่างในแต่ละสิทธิประโยชน์ เพื่อให้เกิดความเสมอภาค และจัดบริการที่มีคุณภาพ โดยเน้นให้เริ่มยาต้านไวรัสทันทีที่รู้ว่าติดเชื้อ เพื่อลดการป่วยด้วยภาวะแทรกซ้อนและลดการเสียชีวิต ซึ่งถ้ากดปริมาณไวรัสในเลือดได้ จะเป็นการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย 

            นายแพทย์ปรีชา กล่าวต่อไปว่า กรมควบคุมโรคร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของจังหวัดอย่างเต็มที่ โดยมีนโยบายที่สำคัญ ได้แก่ 1.การเร่งการดำเนินงานจัดบริการเชิงรุกด้านการป้องกัน ส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งกับทุกคู่นอน  2.ขยายการจัดบริการยาเพร็พ เพื่อป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อฟรี ในประชากรที่มีพฤติกรรมเสี่ยง  3.ส่งเสริมการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยความสมัครใจฟรี ปีละ 2 ครั้ง  4.ส่งเสริมให้มีการใช้ชุดตรวจคัดกรองหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกใหม่ที่จะเพิ่มการเข้าถึงการตรวจคัดกรอง  5.พัฒนาศักยภาพเครือข่ายและคุณภาพระบบบริการของสถานบริการสุขภาพ และหน่วยบริการภาคประชาสังคม  6.เสริมสร้างทัศนคติเชิงบวกในการอยู่ร่วมกันกับผู้มีเชื้อเอชไอวีได้อย่างปกติ เพื่อลดการตีตราและเลือกปฏิบัติ  และ 7.ขับเคลื่อนพัฒนาระบบและกลไกการรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองการละเมิดสิทธิ์ อันจะเป็นกลไกสำคัญที่จะปกป้องคุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ เพศภาวะ ในทุกกลุ่มประชากร

          ด้านนายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินงานเพื่อเพิ่มการข้าถึงบริการและพัฒนาคุณภาพการดูแลรักษาด้านเอชไอวี จนมีผลลัพธ์การเข้าถึงบริการที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับรู้สถานะการติดเชื้อเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 87 ในปี 2561 เป็นร้อยละ 98 ในปี 2563  จำนวนผู้ติดเชื้อที่ทราบสถานะการติดเชื้อเอชไอวีเข้าถึงบริการได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 79 ในปี  2561 เป็นร้อยละ 83 ในปี 2563 และผู้ติดเชื้อที่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีสามารถกดปริมาณไวรัสในกระแสเลือดได้สำเร็จ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 91 ในปี 2561 เป็นร้อยละ 92 ในปี 2563  จากข้อมูลดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงโอกาสการพัฒนาด้านการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์อย่างต่อเนื่อง ซึ่ง “การเข้าถึงบริการ” โดยผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ระบบ การรักษาและได้รับยาต้านไวรัสเร็ว สามารถกดปริมาณไวรัสในกระแสเลือดได้สำเร็จ ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี สอบถามเพิ่มเติมได้ที่กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โทร.0 2590 3211 หรือสายด่วน กรมควบคุมโรค โทร.1422

***************************

ข้อมูลจาก : กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564


ข่าวสารอื่นๆ