กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะประชาชนบางส่วนที่กำลังทยอยเดินทางกลับจากภูมิลำเนาหลังหยุดยาวช่วงปีใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด ขอให้ยึดหลัก D-M-H-T-T อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันตนเองจากโรคโควิด 19 และสังเกตอาการตนเอง หากมีไข้และมีอาการระบบทางเดินหายใจให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
วันนี้ (5 มกราคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงหลังจากหยุดยาวปีใหม่ ประชาชนส่วนใหญ่เดินทางกลับมาทำงาน และบางส่วนทยอยเดินทางกลับมาในภายหลังเพื่อหลีกเลี่ยงรถติด ซึ่งในช่วงนี้มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ระลอกใหม่ กรมควบคุมโรค จึงขอแนะประชาชนป้องกันตนเอง โดยยึดหลัก D-M-H-T-T ได้แก่ D : Social Distancing เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร เลี่ยงการอยู่ในที่แออัด M : Mask Wearing สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลา H : Hand Washing ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ T : Testing การตรวจวัดอุณหภูมิและตรวจหาเชื้อโควิด 19 ในกรณีที่มีอาการเข้าข่าย T: Thai Cha Na สแกนไทยชนะก่อนเข้า-ออกสถานที่สาธารณะทุกครั้ง เพื่อให้มีข้อมูลในการประสานงานได้ง่ายขึ้น
สำหรับประชาชนที่กำลังทยอยกลับจากภูมิลำเนาหลังหยุดยาวปีใหม่ ขอให้เตรียมอุปกรณ์ป้องกันตนเองระหว่างเดินทางให้พร้อม เช่น หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ ยาประจำตัว เป็นต้น จดบันทึก timeline การเดินทางของตนเอง เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรค และสังเกตอาการตนเอง หากมีไข้และมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้รีบไปพบแพทย์หรือสถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อาทิ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากมีอาการป่วยจะรุนแรงกว่ากลุ่มปกติ อาจทำให้เสียชีวิตได้
นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อเดินทางกลับถึงบ้านหรือที่พัก ควรถอดรองเท้าไว้นอกบ้านและทำความสะอาดก่อนเก็บเข้าที่ หน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วให้ใส่ถุงก่อนทิ้งถังขยะที่มีฝาปิด ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ก่อนสัมผัสสิ่งของภายในบ้าน อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดทันที ทำความสะอาดของใช้ส่วนตัว หากกลับมาจากพื้นที่เสี่ยงให้รักษาระยะห่างจากสมาชิกในครอบครัวและคนในชุมชน และสังเกตอาการตนเอง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
******************
ข้อมูลจาก: ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน /สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
วันที่ 5 มกราคม 2564