ประกาศขององค์การอนามัยโลก จากผลการประชุมครั้งที่ 15 ของคณะกรรมการฉุกเฉินตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (2005) เรื่องการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19
ถอดความจาก https://www.who.int/news/item/05-05-2023-statement-on-the-fifteenth-meeting-of-the-international-health-regulations-(2005)-emergency-committee-regarding-the-coronavirus-disease-(covid-19)-pandemic
แปลโดย สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมควบคุมโรค
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกมีความยินดีที่จะแจ้งรายงานการประชุมครั้งที่ 15 ของคณะกรรมการฉุกเฉินตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (2005) เรื่องการระบาดใหญ่ของโรคโควิด 19 ที่เกิดจากไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งจัดขึ้นวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2566 ตั้งแต่เวลา 12:00 ถึง 17:00 น. ของโซนเวลายุโรปกลาง
ในช่วงการประชุมเฉพาะคณะกรรมการฯ กรรมการส่วนใหญ่ได้ให้ข้อสังเกตถึงแนวโน้มการลดลงของการเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 การลดลงของผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารักษาในโรงพยาบาล และในหอผู้ป่วยหนัก รวมถึงข้อสังเกตว่าประชากรของโลกที่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 มีสัดส่วนสูงมากขึ้น ในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการได้มีการปรับเแนวความคิดต่อการจัดการโควิด-19 ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ แม้ว่าเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 จะมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโรคนี้จะยังมีความเปลี่ยนแปลงต่อไปได้อีก แต่คณะกรรมการได้ให้คำแนะนำว่า ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่สมควรจะปรับการจัดการการระบาดของโรคโควิด 19 ให้เปลี่ยนผ่านไปสู่การจัดการแบบระยะยาว
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกเห็นพ้องกับคำแนะนำของคณะกรรมการฯ และพิจารณาเห็นว่าในขณะนี้การระบาดของโรคโควิด 19 ได้เปลี่ยนสภาพเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่จะดำเนินต่อเนื่องไปในระยะยาว ดังนั้น จึงไม่ถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern: PHEIC) อีกต่อไป
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกได้พิจารณาและเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะกรรมการฯ เกี่ยวกับข้อแนะนำชั่วคราว (Temporary Recommendations) ขององค์การอนามัยโลก จึงขอออกประกาศข้อแนะนำชั่วคราวดังกล่าว มาตามปรากฏด้านล่างนี้ และผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกจะจัดการประชุมคณะกรรมการทบทวน ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ (IHR Review Committee) เพื่อให้คำเเนะนำเกี่ยวกับแนวทางจัดการกับการระบาดใหญ่ของเชื้อ SARS-CoV-2 ในระยะยาว โดยให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อมและการตอบโต้โรคโควิด-19 พ.ศ. 2566-2568 ในช่วงการเปลี่ยนผ่านนี้ องค์การอนามัยโลกขอแนะนำให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติตามข้อแนะนำชั่วคราว โดยเคร่งครัด นอกจากนี้ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกยังได้กล่าวขอบคุณเป็นอย่างสูงต่อประธาน สมาชิก และที่ปรึกษาของคณะกรรมการฯ สำหรับความมุ่งมั่นและการให้คำแนะนำต่อองค์การอนามัยโลก ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา
===
รายงานการประชุมทางวิชาการ
Dr Tedros Adhanom Ghebreyesus ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าวต้อนรับสมาชิกและที่ปรึกษาคณะกรรรมการฉุกเฉิน ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการจัดการประชุมในรูปแบบ VDO Conference โดย Dr Tedros ได้รับทราบว่าจำนวนผู้เสียชีวิต และการเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในแต่ละสัปดาห์มีจำนวนที่ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังได้แสดงความห่วงใยต่อการรายงานด้านการเฝ้าระวังโรค ที่ส่งมายังองค์การอนามัยโลกมีจำนวนลดน้อยลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งอาจเป็นผลมากจากการเข้าถึงที่ไม่เท่าเทียมในมาตรการการช่วยชีวิตและบริการทางด้านสาธารณสุข รวมถึงความเหนื่อยล้าจากภาระการตอบโต้การระบาดของโรค ที่ยังคงเพิ่มมากขึ้น Dr. Tedros แจ้งว่าองค์การอนามัยโลกเพิ่งตีพิมพ์แผนยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองต่อโรคโควิด 19 พ.ศ. 2566-2568 ซึ่งแผนดังกล่าวนี้แนะนำแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญสำหรับประเทศสมาชืก โดยมุ่งเน้นงานที่สำคัญ 5 ด้าน ประกอบด้วย การเฝ้าระวังด้วยความร่วมมือหลายภาคส่วน การปกป้องชุมชน การรักษาดูแลอย่างปลอดภัย การเข้าถึง บริการทางด้านสาธารณสุข และการประสานงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะเดียวกัน Dr. Tedros กล่าวขอบคุณ ศาสตราจารย์ Houssin ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการฉุกเฉินตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ ในความเป็นผู้นำของท่าน ซึ่งได้ช่วยขับเคลื่อนคณะกรรมการตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และขอบคุณคณะกรรมการและที่ปรึกษาสำหรับความเชี่ยวชาญ ความมุ่งมั่น และการอุทิศตนเพื่องานตลอดมา
ผู้แทนจากสำนักสภากฎหมาย สรุปสาระสำคัญเกี่ยวกับบทบาท หน้าที่ความรับผิดชอบ และข้อระเบียบของกฎอนามัยระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องแก่คณะกรรมการและที่ปรึกษา ขณะที่เจ้าหน้าที่จริยธรรมและเจ้าหน้าที่ด้านการจัดการความเสี่ยง และคณะกรรมการจริยธรรม ชี้แจงให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการและที่ปรึกษาถึงบทบาทหน้าที่ในระหว่างการประชุมหารือและระหว่างการทำงานร่วมกับคณะกรรมการขององค์การอนามัยโลก โดยเจ้าหน้าที่ดังกล่าวนั้นจะดูแลกรณีที่อาจมีประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ทั้งในแง่ของความเป็นส่วนตัว วิชาชีพ งบประมาน ทรัพย์สินทางปัญญาและการค้า ซึ่งในระยะที่ผ่านมายังไม่พบประเด็นดังกล่าวระหว่างกรรมการและที่ปรึกษา
ศาสตราจารย์ Houssin ประธานคณะกรรมการทางด้านภาวะฉุกเฉิน ชี้แจงวัตถุประสงค์ของการประชุม คือ เพื่อให้ข้อมูลและมุมมองแก่ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก ว่าการแพร่ระบาดของโควิด 19 นั้นยังควรจะเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศอยู่หรือไม่ พร้อมทั้ง ทบทวนข้อแนะนำชั่วคราว ที่ให้ไว้แก่ประเทศสมาชิกฯ
ขณะที่การประเมินความเสี่ยงระดับโลก ว่าโควิด-19 ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ในระดับสูง แต่มีหลักฐานที่ชี้ว่าความเสี่ยงต่อสุขภาพมนุษย์มีแนวโน้มลดลง อันเป็นผลมาจากประชากรที่มีภูมิคุ้มกัน มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
ทั้งจากการติดเชื้อ วัคซีน หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน ความรุนแรงที่น้อยลงของเชื้อโควิดสายพันธุ์ที่แพร่หลายในปัจจุบัน เมื่อเทียบกับสายพันธุ์ก่อน และการดูแลรักษาผู้ป่วยที่พัฒนามากขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิต ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล และผู้ป่วยหนักฉุกเฉินทั่วโลกรายสัปดาห์ ลดน้อยลง ประกอบกับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสายพันธุ์ที่แพร่อยู่ในปัจจุบันไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น
องค์การอนามัยโลกทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับสถานะการให้วัคซีนทั่วโลก และพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะยกเลิกภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ คณะกรรมการฯ ได้รับการรายงานว่า ปัจจุบัน ทั่วโลกมีการให้วัคซีนโควิด-19 จำนวน 13.3 พันล้านโด๊ส โดยร้อยละ 89 ของบุคลากรสาธารณสุข และร้อยละ 82 ของผู้สูงวัยที่อายุมากกว่า 60 ปี ได้รับวัคซีนอย่างน้อยในขั้นพื้นฐาน (1-2 โดส ตามคำแนะนำของแต่ละประเทศ) อย่างไรก็ตาม ความครอบคลุมของการได้รับวัคซีน ยังมีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างภูมิภาคของโลก
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ได้ให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการฯ เรื่องความคืบหน้าของการบูรณาการการเฝ้าระวังโควิดเข้ากับระบบเฝ้าระวังและตอบโต้ไข้หวัดใหญ่ระดับโลก (GISRS) พร้อมทั้งแนวทางการพัฒนาในระยะต่อไป เรื่องแนวทางขององค์การอนามัยโลกที่จะออกข้อแนะต่อเนื่อง (Standing Recommendations) ภายใต้กฎอนามัยระหว่างประเทศ เพื่อจัดการปัญหาโควิด-19 ในระยะยาว และเรื่องการขึ้นบัญชีเวชภัณฑ์ที่อนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Listed: EUL) โดยองค์การอนามัยโลก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการยกเลิกภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ ในกรณีนี้ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกแจ้งว่าจะยังมีอำนาจในการอนุมัติใช้ EUL ดังนั้นการยกเลิกภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศจะไม่ส่งผลต่อการเข้าถึงวัคซีนและชุดตรวจวินัจฉัยโรค ซึ่งเคยได้รับอนุมัติภายใต้กระบวนการ EUL ไว้แล้ว ดังนั้น ประเทศสมาชิกจะยังคงสามารถเข้าถึงวัคซีน และชุดตรวจวินิจฉัยต่างๆ (บริษัทผู้ผลิตยังสามารถผลิตต่อไป) ขณะที่ COVAX จะยังคงจัดหาและการกระจายวัคซีนที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนไว้แล้ว ตามความต้องการตลอดปี พ.ศ. 2566 การดำเนินงานตามแนวดังกล่าว จะช่วยให้การขึ้นทะเบียนรับรองวัคซีนและชุดตรวจวินิจฉัยมีการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นจากกระบวนการ EUL ไปสู่กระบวนการแบบปกติ (Prequalification) ขององค์การอนามัยโลกในระยะต่อไป อนึ่ง ยาส่วนมากที่ใช้ในการรักษาโควิดในปัจจุบันนั้น โดยมากเป็นยาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนไว้แล้วเพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์การใช้ (ให้ใช้รักษาโควิด-19 ได้ด้วย) ดังนั้น การยกเลิกภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ จะไม่ส่งผลต่อการรับรองการใช้ยาเหล่านั้น
การประชุมเฉพาะคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาการประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ
คณะกรรมการฯ พิจารณาเกณฑ์ทั้งสามของการประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศว่าโรคโควิด 19 ได้แก่ 1) เป็นเหตุการณ์ผิดปกติ 2) มีความเสี่ยงด้านสาธารณสุขต่อประเทศอื่น ๆ ผ่านการเดินทางติดต่อระหว่างประเทศ และ 3) อาจจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อควบคุมการระบาด
คณะกรรมการฯ ได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของการระบาดใหญ่โควิด 19 และเห็นว่า ถึงแม้ว่าเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 จะมีการแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง และยังมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่รับรู้และเข้าใจกันอยู่ทั่วไป ไม่ควรนับว่าเป็นเหตุการณ์ผิดปกติหรือเกินความคาดหมายต่อไป เเละคณะกรรมการตระหนักว่า ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกอาจตัดสินใจ ให้มีการประชุมของคณะกรรมการฉุกเฉินตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ ขึ้นอีกได้ในอนาคต หากเกิดสถานการณ์ที่เห็นว่ามีความจำเป็น
การประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศได้กระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ เพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประสานงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน การเฝ้าระวังร่วมกัน การดูแลรักษาผู้ป่วย การสื่อสารความเสี่ยงและการมีส่วนร่วมของชุมชน
โลกได้มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญและน่าประทับใจ นับตั้งแต่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศในเดือนมกราคม พ.ศ. 2563 การที่พวกเรามาถึงจุดที่โรคโควิด 19 จะถูกพิจารณาให้ไม่เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศอีกต่อไป นับเป็นอานิสสงส์ของความร่วมมือระหว่างประเทศ และความมุ่งมั่นต่อสุขภาพโลกที่มีร่วมกัน เช่นเดียวกันกับในการประชุมครั้งที่ผ่านมา คณะกรรมการได้พิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลประโยชน์และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการคงไว้ซึ่งภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ แม้การประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศจะเป็นเครื่องมืออันสำคัญยิ่งต่อการสร้างความร่วมมือของโลกต่อการจัดการโรคโควิด 19 แต่คณะกรรมการฯเห็นพ้องกันว่าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การจัดการโควิด-19 แบบปัญหาทางสาธารณสุขที่ต่อเนื่องในระยะยาว
เพื่อการดำเนินงานระยะต่อไป คณะกรรมการฯ เสนอแนะให้ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก พิจารณาเรียกประชุมคณะกรรมการทบทวน ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ เพื่อให้ข้อแนะนำสำหรับการจัดการในระยะยาวต่อความเสี่ยงและปัญหาโควิด-19 (จากไวรัส SARS-CoV-2) โดยสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมและการตอบสนองต่อโรคโควิด 19 พ.ศ. 2566-2568 ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการฯตระหนักว่า ขณะนี้ประเทศสมาชิกกำลังพิจารณาเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อตกลงความร่วมมือในการป้องกันการ การเตรียมพร้อม และการตอบโต้การระบาดใหญ่ (PPPR Accordss) หารือเกี่ยวกับการแก้ไขกฎอนามัยระหว่างประเทศ และพิจารณาข้อเสนอสิบประการเพื่อสร้างโลกที่ปลอดภัยขึ้นร่วมกัน โดยการเสริมสร้างสถาปัตยกรรมระดับโลกสำหรับการเตรียมพร้อมในภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพ การตอบสนอง และการกลับสู่สภาพเดิม (Health Emergency Preparedness, Response, and Resilience: HEPR)
คณะกรรมการฯ ขอบคุณทีมงานเลขานุการขององค์การอนามัยโลก และรัฐภาคีต่อการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง และเน้นย้ำว่าไม่สมควรที่จะหยุดการทำงาน หรือยกเลิกระบบระบบงานที่ได้สร้างขึ้น คณะกรรมการฯชี้ว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องปิดช่องว่างต่างๆที่พบในระหว่างการควบคุมการแพร่ระบาดที่ผ่านมา พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างระบบสุขภาพ สื่อสารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน ใช้แนวคิดการทำงานสุขภาพหนึ่งเดียว หรือ One Health เพื่อเตรียมความพร้อมและตอบโต้ ผนวกเเละควบรวมการเฝ้าระวังและการตอบสนองโรคโควิด 19 เข้ากับระบบปกติ คณะกรรมการฯ สนับสนุนให้องค์การอนามัยโลก หน่วยงานที่มีส่วนร่วม และรัฐภาคีที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญ เเละสนับสนุนทรัพยากรเพื่อเตรียมความพร้อมและการกลับคืนสู่สภาพเดิม ในการรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ่นในอนาคต
ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกได้ประกาศข้อแนะนำชั่วคราวต่อรัฐภาคี ดังนี้