โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies)
- ความรู้เรื่องโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) โรคพิษสุนัขบ้าในคนนิยมเรียก โรคกลัวน้ำ (Hydrophobia) ส่วนในภาษาอีสานเรียก โรคหมาว้อ โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลางที่มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต พบในสัตว์เลือดอุ่นทุกชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าและยังติดต่อมาสู่มนุษย์ พาหะนำโรคที่สำคัญที่สุดสู่มนุษย์ และสัตว์อื่นๆ คือ สุนัข รองลงมาคือแมว ในบ้านเรานั้นมีรายงานการเกิดโรคพิษสุนัขบ้า ในโคปีละประมาณ 60 ตัว ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับที่พบในยุโรปหรืออเมริกา ซึ่งมีนับล้านตัวในแต่ละปี พาหะนำเชื้อที่สำคัญในบ้านเราคือ สุนัขพบได้ประมาณร้อยละ 95 แมวร้อยละ 4 สัตว์เลี้ยงพวกโค กระบือ สุกร ม้า และสัตว์ป่าที่เลี้ยงลูกด้วยนมราวร้อยละ 1 สำหรับในแถบประเทศละตินอเมริกานั้น พบพาหะที่สำคัญคือค้างคาวดูดเลือด (Vampire bat) ซึ่งเป็นสาเหตุให้โคตายปีละนับแสนตัว สาเหตุและการติดต่อ เกิดจาก Rabies virus ซึ่งเป็น RNA virus รูปร่างคล้ายกระสุนปืน ปลายด้านหนึ่งโค้งมนและปลายอีกด้านหนึ่งตัดตรงถูกทำลายได้ง่ายด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ การติดเชื้อที่สำคัญที่สุดคือการถูกสัตว์เป็นบ้ากัด เมื่อเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าเข้าสู่ร่างกายโดยการถูกกัด ข่วน เลีย หรือน้ำลายสัตว์กระเด็นเข้าแผลรอยขีดข่วน เยื่อบุตา จมูก ปาก หรือการปลูกถ่ายกระจกตา จากผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า เชื้อจะยังคงอยู่บริเวณนั้นระยะหนึ่ง โดยเพิ่มจำนวนในกล้ามเนื้อ ก่อนจะเดินทางผ่านเข้าสู่เส้นประสาทส่วนปลาย ไขสันหลัง และเข้าสู่สมอง มีการแบ่งตัวในสมอง พร้อมทำลายเซลล์สมอง และปล่อยเชื้อกลับสู่ระบบขับถ่ายต่างๆ เช่น ต่อมน้ำลาย น้ำปัสสาวะ น้ำตา ตามแขนงประสาทต่างๆ ทำให้เกิดอาการ บางรายเกิดอาการช้านานเกิน 1 ปี บางรายเกิดอาการเร็วเพียง 4 วันเท่านั้น แต่โดยเฉลี่ย 3 สัปดาห์ถึง 4 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
- จำนวนเชื้อที่เข้าไป บาดแผลใหญ่ ลึก หรือมีหลายแผล มีโอกาสที่เชื้อจะเข้าไปได้มาก
- ตำแหน่งที่เชื้อเข้าไป ถ้าอยู่ใกล้สมองมาก เชื้อก็จะเดินทางไปถึงสมองได้เร็ว ถ้าน้ำลายถูกผิวหนังปกติ ไม่มีรอยข่วนหรือบาดแผล ไม่มีโอกาสติดโรค การติดต่อโดยการหายใจ มีโอกาสน้อยมาก ยกเว้นมีจำนวนไวรัสในอากาศเป็นจำนวน มาก เช่น ในถ้ำค้างคาวนอกจากนั้นติดต่อจากการกินได้ ถ้ามีบาดแผลภายในช่องปากและหลอดอาหาร ซึ่งจะพบกรณีสัตว์กินเนื้อสัตว์ที่ป่วยตายใหม่ๆ
- อายุคนที่ถูกกัด เด็กและคนชราจะมีความต้านทานของโรคต่ำกว่าคนหนุ่มสาว
- ความรุนแรงของเชื้อ เชื้อจากสัตว์ป่าอันตรายกว่าสัตว์เลี้ยง สุนัขและแมวที่ป่วยด้วยโรคพิษสุนัขบ้า สามารถแพร่เชื้อได้ก่อนแสดงอาการ เพราะ เชื้อจะออกมาในน้ำลายเป็นระยะ ๆ ประมาณ 1-7 วัน ก่อนแสดงอาการ
- วิธีตรวจวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้าทางห้องปฏิบัติการ
- ตรวจหาแอนติเจนต่อเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าด้วยวิธี Fluorescent Antibody Technic (FAT)
- ตรวจยืนยันด้วยการแยกเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า ในกรณีที่ผลการตรวจหาแอนติเจนด้วยวิธี FAT เป็นลบ สามารถตรวจยืนยันได้โดยวิธีการดังต่อไปนี้ 2.1 Mouse Inoculaltion Test (MIT) 2.2 Cell Isolation
- ตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสพิษสุนัขบ้าโดยวิธี Polymerase Chain Reaction (PCR)ใช้เป็นวิธีพิเศษในกรณีที่ไม่สามารถสรุปผลด้วยวิธีการตรวจหาแอนติเจนและวิธีการแยก เชื้อไวรัส หรือกรณีตัวอย่างที่ไม่ใช่เนื้อสมอง
- ตรวจหาระดับนิวทรัลไลซิ่งแอนติบอดี
- Mouse Neutralization Test (MNT)
- Rapid Fluorescent Focus Inhibition Test (RFFIT) เอกสารอ้างอิง 1. ประเสริฐ ทองเจริญ, โรคพิษสุนัขบ้า. พิมพ์ครั้งที่ 1 โรงพิมพ์อักษรสมัย, 2523 : 15, 30 2. จันทพงษ์ วะสี, แนวทางการแก้ปัญหาการดูแลป้องกันรักษาผู้สัมผัสหรือสงสัยว่าสัมผัส โรคพิษสุนัขบ้า, เอกสารแจกในการประชุมสัมมนาวิชาการสหัสวรรษใหม่ของการสาธารณสุขและการ จัดการโรคพิษสุนัขบ้าในประเทศไทย, โรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว เชียงใหม่, วันที่ 12-13 กุมภาพันธ์ 2544 3. กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข, คู่มือการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคพิษสุนัขบ้า 2543 : 58 4. Laboratory techniques in Rabies, 4th edition, WHO, Geneva, 1996 วิธีการควบคุมโรค ก. มาตรการป้องกัน จดทะเบียนและออกใบอนุญาตเลี้ยงสุนัข และฉีดวัคซีนสุนัข จับและกำจัดสุนัขไม่มีเจ้าของ (อาจรวมถึงการฉีดวัคซีนแมวด้วย) และให้สุขศึกษาแก่เจ้าของสัตว์และประชาชนเกี่ยวกับ - การควบคุมสุนัขและแมว ถือเป็นเรื่องสำคัญ คือ เมื่อนำสัตว์เลี้ยงออกนอกบ้านโดยเฉพาะในที่สาธารณะที่มีผู้คนพลุกพล่าน จะต้องผูกล่ามสัตว์เลี้ยงไว้ - สัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าที่มีท่าทางแปลก ๆ หรือมีอาการป่วย อาจก่ออันตรายได้จึงไม่ควรจับหรืออุ้ม ในกรณีที่มีสัตว์ป่วยหรือมีสัตว์กัดคนหรือกัดสัตว์อื่นๆ ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือตำรวจในท้องที่ และกักขังเพื่อสังเกตอาการสัตว์นั้น - ไม่ควรนำสัตว์ป่ามาเลี้ยง เพราะอาจนำโรคนี้มาสู่คนได้ - ในสภาพสังคมที่ยังไม่เอื้ออำนวยในการดำเนินมาตรการข้างต้นอย่างเข้มงวด จำเป็นต้องให้วัคซีนแก่สุนัขทั้งหมดเป็นประจำ สุนัขและแมวที่กัดคน (แม้ว่ามีอาการปกติขณะที่กัด) ต้องกักขังไว้เพื่อสังเกตอาการ 10 วัน หรืออาจทำลายสัตว์นั้นทันที และส่งตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ สุนัขและแมวที่มีอาการผิดปกติควรทำลาย และส่งตรวจทันที สุนัขและแมวที่มีราคาหรือเจ้าของไม่ต้องการทำลาย ต้องระมัดระวัง ถ้าทำได้ควรกักขังและสังเกตแสดง ซึ่งปกติแล้วหากสัตว์มีเชื้อในวันที่กัด ก็มักจะเริ่มมีอาการของโรคภายใน 5 - 8 วัน เช่น มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากเดิม ต่อมาจะมีอาการแบบบ้าดุร้าย หรือแบบอัมพาต และตายในที่สุด สัตว์ป่าทุกชนิดควรทำลายและส่งตรวจทันที กรณีสัตว์ในสวนสัตว์กัดคน อาจจะเป็นการเหมาะสมที่จะให้วัคซีน/ซีรั่ม แก่ผู้ถูกกัดมากกว่าที่จะทำลายสัตว์ ควรกักขังและสังเกตอาการภายใน 6-12 เดือน ถ้ามีสัตว์ตาย ควรส่งหัวสัตว์ไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาเชื้อ โดยใส่ในถุงพลาสติกหนา ๆ และแช่ในน้ำแข็ง (ห้ามแช่แข็ง) สุนัข แมว ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน เมื่อถูกสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ควรทำลายทิ้งทันที หากไม่ทำลายต้องกักขังสัตว์ในกรงที่แข็งแรงนานอย่างน้อย 6 เดือน ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์ และต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 เดือน ก่อนอนุญาตให้เจ้าของรับกลับ ถ้าเป็นสุนัขหรือแมวที่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ก็ให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำ 1 เข็มทันที พร้อมทั้งกักบริเวณหรือผูกล่ามอย่างน้อย 3 เดือน ผู้ที่เสี่ยงโรคสูง เช่น สัตวแพทย์ ผู้ทำงานเกี่ยวกับเชื้อโรคนี้ และนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเขตที่มีโรคชุก ควรได้รับการป้องกันโรคล่วงหน้า โดยฉีดวัคซีนเซลล์เพาะเลี้ยงขนาด 1 มล. เข้ากล้ามเนื้อ หรือ 0.1 มล.เข้าในหนัง จำนวน 3 เข็ม ในวันที่ 0, 7 และ 28 ถ้ากำลังได้รับยา chloroquine ป้องกันโรคมาลาเรีย ควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนเข้าในหนังเพราะภูมิคุ้มกันจะถูกกด ควรฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การป้องกันหลังถูกสัตว์กัด ทำได้โดย - การักษาบาดแผลสัตว์กัดทันทีเป็นวิธีการป้องกันที่มีประสิทธิผลมากที่สุด กำจัดไวรัสที่แผลโดยการล้างและรักษาบาดแผลอย่างถูกต้องและทั่วถึงทันทีด้วยน้ำและสบู่ (ถ้าไม่มีอาจใช้ผงซักฟอก) เมื่อมาถึงสถานพยาบาล ควรได้รับการล้างแผลซ้ำ ถ้าแผลลึกต้องล้างให้ถึงก้นแผล และใส่ยาฆ่าเชื้อเช่น โพวีโดนไอโอดีน ไม่ควรเย็บแผล (เพราะรอยเย็บจะเอื้อให้เชื้อเข้าไปสู่ปลายประสาทได้ง่ายขึ้น) ถ้าจำเป็นต้องเย็บแผล ให้เย็บหลวม ๆ เพื่อเป็นช่องทางให้เชื้อที่อาจยังหลงเหลือได้มีการระบายออกไปได้ และต้องทำหลังจากฉีด Immune globulin เข้าที่แผลแล้วเท่านั้น - การให้ภูมิคุ้มกันโรคโดยฉีด Rabies immune globulin (RIG) โดยเร็วที่สุดเพื่อทำลายเชื้อที่แผล และตามด้วยการฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน RIG : ให้อิมมูโนโกลบุลินผลิตจากม้า (ERIG) ขนาด 40 IU/น้ำหนักตัว 1 กก. หรือให้ชนิดผลิตจากคน (HRIG) ขนาด 20 IU/น้ำหนักตัว 1 กก. ควรพยายามฉีดเข้าที่แผลให้ได้มากที่สุด ถ้ายังเหลืออยู่จึงฉีดเข้ากล้ามเนื้อสะโพก วัคซีน : การฉีดวัคซีน 1 มล. เข้ากล้ามเนื้อบริเวณต้นแขน 5 เข็ม ในวันที่ 0,3, 7, 14 และ 30 ถือเป็นวิธีมาตรฐาน หรืออาจฉีดวัคซีนเข้าในหนัง 2 จุด ในวันที่ 0, 3, 7 และ 1 จุดในวันที่ 30 และ 90 ซึ่งได้ผลใกล้เคียงกัน แนวทางการตัดสินใจว่าจะให้การป้องกันด้วยวัคซีน/RIG ทันที หรือรอสังเกตอาการของสุนัข แมว ก่อน ควรพิจารณาปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ได้แก่ ประวัติการได้รับวัคซีนของสัตว์ พฤติกรรมและอาการของสัตว์ขณะที่กัด ความชุกของการเกิดโรคในพื้นที่ หากไม่มั่นใจ ควรให้การป้องกันทันที โดยเฉพาะเด็กหรือผู้ถูกกัดเป็นแผลฉกรรจ์ และสังเกตสัตว์เมื่อครบ 10 วัน ถ้าสุนัข แมว ยังมีอาการปกติอยู่ก็หยุด ไม่ต้องฉีดวัคซีนเข็มต่อไป - การแพ้วัคซีน ส่วนใหญ่มีการแพ้เฉพาะที่ เช่น ปวด บวม แดง คันบริเวณที่ฉีด บางคนอาจมีอาการแพ้ทั่วไปที่ไม่รุนแรง เช่น ไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดท้อง วิงเวียน บางคนอาจมีผื่นคันตามร่างกาย หรือลมพิษ แต่พบไม่บ่อย ในสหรัฐอเมริกา มีรายงาน 2 ราย เกิดอัมพาตของระบบประสาทแบบชั่วคราว (transient neuroparalytic illness) จาก HDCV คนที่ได้รับการฉีดกระตุ้นบ่อยๆ อาจมี hypersensitivity ได้ประมาณ 6เปอร์เซ็นต์ ในวันที่ 2-21 หลังได้รับ HDCV โดยมีอาการผื่นแพ้ (pruritic rash) ลมพิษ (urticaria) ปวดข้อ ข้ออักเสบ (angioedema) คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ ปวดเมื่อยครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย แต่อาการเหล่านี้ทุเลาได้จากจากการให้ antihistamines น้อยรายที่ต้องให้ corticosteroids หรือ epinephrine HRIG ไม่มีอาการแพ้รุนแรง ปัจจุบัน ERIG ที่ใช้อยู่มีความบริสุทธิ์มาก มีอัตราแพ้เพียงประมาณ 1-6 เปอร์เซ็นต์ และอาการแพ้ไม่รุนแรง - ให้การป้องกันอื่น ๆ เพราะแผลสุนัขหรือแมวกัด อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด รวมทั้งเชื้อบาดทะยัก จึงควรพิจารณาการให้วัคซีนบาดทะยักและยาต้านจุลชีพด้วย ข. การควบคุมผู้ป่วย ผู้สัมผัส และสิ่งแวดล้อม การรายงานผู้ป่วย : โรคนี้เป็นโรคที่ต้องแจ้งความไปยังเจ้าหน้าที่สาธารณสุข การแยกผู้ป่วย : ป้องกันการสัมผัสกับน้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วย การทำลายเชื้อ : น้ำลายและสิ่งที่ปนเปื้อนน้ำลายผู้ป่วยต้องนำไปฆ่าเชื้อ แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานการติดต่อจากการดูแลคนไข้ แต่ผู้ดูแลคนไข้ควรสวมถุงมือ เสื้อคลุม และสวมผ้า ปิดปากจมูก การกักกัน : ไม่จำเป็น การให้ภูมิคุ้มกันแก่ผู้สัมผัส : ผู้สัมผัสคนไข้ ถ้ามีแผลที่ผิวหนังหรือเยื่อบุตา จมูก ปาก และสัมผัสน้ำลายผู้ป่วย ควรได้รับวัคซีนด้วย การสอบสวนผู้สัมผัสและแหล่งโรค : ค้นหาสัตว์ที่กัดและผู้ที่ถูกสัตว์กัด หรือสัตว์ที่ถูกกัด การรักษาผู้ป่วย : ให้การรักษาตามอาการภายใต้การดูแลอย่างเข็มงวด ค. มาตรการเมื่อเกิดการระบาด ประกาศเขตควบคุมการติดโรค ภายใต้กฎระเบียบข้อบังคับของท้องถิ่น และกฎหมายสาธารณสุข ฉีดวัคซีนสุนัขในพื้นที่เกิดโรค อาจจำเป็นต้องให้วัคซีนแก่สัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ด้วย บังคับใช้มาตรการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด เช่น การกำจัดสุนัขไม่มีเจ้าของ หรือ สุนัขไม่ได้รับวัคซีน การควบคุมจำนวนสุนัขโดยการตอน ทำหมัน และฉีดยาคุมกำเนิด ช่วยให้สามารถตัดวงจรการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิผล ง. สัญญาณภัยที่ควรระวัง : อาจเกิดปัญหาเมื่อมีการนำโรคเข้าสู่พื้นที่ปลอดโรคแล้ว หรือมีการระบาดในพื้นที่ที่มีสุนัขจรจัด หรือสัตว์ป่าจำนวนมาก 1. ถ้าเป็นสัตว์เล็ก อย่างกระรอก กระต่าย แมว ส่งชันสูตรได้ทั้งตัว แต่ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ อย่างสุนัข สุกร วัว ต้องตัดเฉพาะส่วนหัวไปชันสูตร 2. ผู้ตัดหัวสัตว์จะต้องไม่มีบาดแผลที่มือ และต้องสวมถุงมือยางหรือถุงมือพลาสติก ที่กันน้ำได้ขณะทำการตัด 3. นำถุงพลาสติกครอบปากสุนัขก่อนลงมือตัด เป็นการป้องกันน้ำลายสัตว์กระเด็น จากนั้นใช้มีดคมๆ ตัดตรงรอยข้อต่อระหว่างศีรษะกับคอ รวบถุงพลาสติกที่ครอบปากสุนัข ไว้ และนำใส่ลงในถุงพลาสติกหนาๆ อีกชั้น รัดปากถุงให้แน่น ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ หนาๆ ใส่ถุงพลาสติกหนา รวบปากถุงรัดให้แน่น (ห้ามแช่หัวสัตว์ในฟอร์มาลิน จะทำให้ เนื้อสมองแข็ง แยกเชื้อไม่ได้ ผลการตรวจไม่ดี) 4. นำถุงนี้ใส่ลงในถังพลาสติก โฟม หรือโลหะ อย่างใดอย่างหนึ่งที่มีน้ำแข็งรองอยู่ ก้นถัง ประมาณ 1/4 แล้วเทน้ำแข็งกลบทับอีกครั้ง เพื่อรักษาตัวอย่างไม่ให้เน่า (ห้ามใส่เกลือ หรือแช่แข็ง จะทำให้ใช้เวลาในการตรวจนานขึ้น และผลตรวจอาจไม่ดีเท่าที่ควร) 5. นำส่งห้องชันสูตรโรคโดยเร็วที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง 6. กรอกข้อมูลในแบบส่งตัวอย่างตรวจอย่างละเอียด เกี่ยวกับชนิดสัตว์ สี อายุ การฉีด วัคซีน การกัดคนหรือสัตว์อื่น รวมทั้งชื่อที่อยู่ ของผู้ต้องการผลชันสูตรหรือเจ้าของติดไว้ด้วย ป้องกันการสลับตัวอย่าง และเจ้าหน้าที่สามารถติดต่อได้รวดเร็ว ส่วนซาก ถุงมือยางหรือถุงพลาสติก ควรเผาหรือฝังให้ลึกอย่างน้อย 50 ซม. ป้องกัน สัตว์อื่นคุ้ยเขี่ย มีดหรืออุปกรณ์อื่นให้ทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ แล้วผึ่งแดดให้แห้ง หรือต้มในน้ำเดือดนาน 10 นาที กรุงเทพฯ 1. ศูนย์โรคพิษสุนัขบ้า กรมปศุสัตว์ (บริการ 24 ชั่วโมง) โทร. 251-7022 2. สถานเสาวภา สภากาชาดไทย (บริการ 24 ชั่วโมง) โทร. 252-0161-4 3. คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล (ภาควิชาจุลชีววิทยา) โทร. 411-3111, 411-0263 ภาคกลาง 1. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นนทบุรี โทร. 589-9850-8 2. ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ชลบุรี โทร. (038) 286478, 287111 3. โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี โทร. (039) 324975-84 ต่อ 282 4. ศูนย์วิจัยและชันสูตรโรคสัตว์ ชลบุรี โทร. (038) 742116-20 5. สำนักงานปศุสัตว์เขต 1 พระนครศรีอยุธยา โทร. (035) 242339 6. สำนักงานปศุสัตว์เขต 2 ฉะเชิงเทรา โทร. (038) 511997 7. สำนักงานปศุสัตว์เขต 7 นครปฐม โทร. (034) 250982 8. สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดชัยนาท โทร. (056) 411381 ภาคเหนือ 1. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โทร. (053) 945134 2. ศูนย์วิยาศาสตร์การแพทย์ เชียงใหม่ โทร. (053) 211338 3. ศูนย์วิยาศาสตร์การแพทย์ เชียงราย โทร. (053) 793148-50 4. สำนักงานปศุสัตว์เขต 5 เชียงใหม่ โทร. (053) 892453 5. ศูนย์วิจัยและชันสูตรโรคสัตว์ ลำปาง โทร. (054) 226978 6. สำนักงานปศุสัตว์เขต 6 พิษณุโลก โทร. (055) 258854 7. สำนักงานปศุสัตว์ จังหวัดกำแพงเพชร โทร. (055) 711450 8. สำนักงานปศุสัตว์ จังหวัดเพชรบูรณ์ โทร. (056) 721631
แหล่งอ้างอิง
กระทรวงสาธารณสุข กรมควบคุมโรคติดต่อ. โรคพิษสุนัขบ้าและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง.(กรุงเทพฯ): กระทรวงสาธารณสุข. (จุลสาร)
- อาการและอาการแสดงในคน อาการเริ่มแรกของผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีไข้ต่ำ เจ็บคอ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ต่อมามีอาการคัน มักเริ่มจากบริเวณแผลที่ถูกกัด แสบๆ ร้อนๆ แล้วลามไปส่วนอื่น บางคนคันมากจนกลายเป็นแผลอักเสบ มีน้ำเหลือง ผู้ป่วยชายบางรายอาจจะมีอสุจิหลั่งออกมาโดยไม่รู้ตัว ผู้ป่วยหญิงอาจจะพบว่ามีอาการปวดเสียว บริเวณหน้าท้องคล้ายกับจะมีประจำเดือน ต่อมากระสับกระส่าย กลัวแสง กลัวลม กลัวน้ำ คือมีอาการอยากดื่มน้ำแต่ดื่มไม่ได้ เพราะดื่มแล้วจะสำลักและแสบหลอดลมอย่างรุนแรง ผู้ป่วยจึงแสดงอาการกลัวน้ำทุกครั้งที่มีผู้ยื่นขันน้ำ หรือแก้วน้ำให้ดื่ม ไม่ชอบเสียงดัง เพ้อเจ้อ หลุกหลิก กระวนกระวาย หนาวสั่น ตามักเบิกโพลงบ่อยๆ บางครั้งเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคทางจิต มีอาการกลืนลำบาก น้ำลายไหล บางคนอาจปวดเท้าและขา กล้ามเนื้อกระตุก แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก หรืออาจชักเกร็ง อัมพาต หมดสติ และตายในที่สุด แต่ในระยะหลัง โดยเฉพาะตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา และคณะ พบว่าผู้ป่วยมีอาการได้หลากหลายขึ้น ไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 จะมีอาการแขนขาอ่อนแรง อัมพาต หายใจไม่ได้และเข้าใจผิดว่าเป็น ประสาทอักเสบ ทำให้รักษาผิดโดยนำไปเปลี่ยนถ่ายน้ำเหลือง รวมทั้งมีอาการหลากหลายอื่นๆ เช่น ไม่มีความแปรปรวนทางอารมณ์ ไม่เอะอะอาละวาด แต่กลับมีหัวใจเต้นผิดปรกติเป็นอาการเด่น หรือมีแขนอ่อนแรงเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีความผิดปรกติอื่นๆ
- อาการและอาการแสดงใสัตว์ กว่าร้อยละ 95 ของผู้ป่วยมีสาเหตุมาจากสุนัข เพราะสุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้าน ที่มีความใกล้ชิด ความผูกพันกับคน ควรหมั่นสังเกตอาการของสัตว์เลี้ยงในบ้านของเราเองว่ามีอาการของโรคนี้หรือไม่ อาการของสุนัขมีทั้งแบบดุร้ายและแบบซึม 1.) ชนิดดุร้าย ถ้าหากล่ามโซ่หรือเลี้ยงไว้ในกรงก็จะมีอาการกระวนกระวาย พยายามหาทางออกโดยการกัดโซ่ กัดกรงขังจนเลือดออกโดยไม่แสดงอาการเจ็บปวด วิ่งไปโดยไร้จุดหมาย กัดคน กัดสัตว์ทุกชนิดที่ขวางหน้า น้ำลายฟูมปาก คางห้อย หางตก แววตาน่ากลัว หลังจากนั้นก็จะเริ่มมีอาการอัมพาต ขาหลังไม่มีแรง วิ่งลำบากขึ้น วิ่งไปล้มไป เมื่อมีอาการอัมพาตมากขึ้น ขาหน้าก็จะหมดแรง แล้วค่อยๆ ล้มลงหมดสติและตายภายใน 3-6 วัน หลังจากแสดงอาการ ส่วนในแมวจะแสดงอาการดุร้ายมากกว่าสุนัข มีอาการพองขน กางอุ้งเล็บออก มีลักษณะหวาดระแวง เตรียมพร้อมที่จะสู้อยู่ตลอดเวลา ส่งเสียงดังเป็นพักๆ มีอาการราว 2-4 วัน ก็จะเริ่มเป็นอัมพาต เคลื่อนไหวได้ช้าลง หมดสติและตายในที่สุด 2.) ชนิดเซื่องซึม จะสังเกตได้ยาก เพราะแสดงอาการป่วยเหมือนกับสัตว์เป็นโรคอื่นๆ เช่น โรคหวัด ไข้หัดในระยะต้นๆ สุนัขหรือแมวจะหลบไปนอนในที่เงียบๆ ไม่แสดงอาการดุร้าย จะกัดคนหรือสัตว์เมื่อถูกรบกวน หรือเมื่อเอาน้ำ เอายาหรือเอาอาหารไปให้ เมื่ออาการของโรคกำเริบมากขึ้น จะมีอาการอัมพาต ลุกขึ้นเดินไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะไม่ได้ และตายในที่สุด และส่วนมากจะตายภายใน 3-6 วัน หลังจากแสดงอาการ ระยะอาการมี ระยะด้วยกัน คือ ระยะเริ่มแรก มีอาการประมาณ 2-3 วัน โดยสุนัขจะมีอารมณ์และอุปนิสัยเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น สุนัขที่ชอบคลุกคลีกับเจ้าของจะแยกตัวออกไปหลบซุกตัวเงียบ ๆ มีอารมณ์หงุดหงิด หรือตัวที่เคยขลาดกลัวคนจะกลับมาคลอเคลีย เริ่มมีไข้เล็กน้อย ม่านตาขยายกว้างกว่าปกติ การตอบสนองต่อแสงของตาลดลง กินข้าว กินน้ำน้อยลง ระยะตื่นเต้น คือ เริ่มมีอาการทางประสาท สุนัขจะกระวนกระวาย ตื่นเต้น หงุดหงิด ไม่อยู่นิ่ง กัดแทะสิ่งของ สิ่งแปลกปลอม กัดทุกสิ่งไม่เลือกหน้า ถ้ากักขังหรือล่ามไว้จะกัดกรง หรือโซ่จนเลือดกลบปากโดยไม่เจ็บปวด เสียงเห่าหอนจะเปลี่ยนไป ตัวแข็ง บางตัวล้มลงชัก กระตุก ระยะอัมพาต สุนัขจะมีคางห้อยตก ลิ้นมีสีแดงคล้ำห้อยออกนอกปาก น้ำลายไหล และไม่สามารถใช้ลิ้นได้เลย สุนัขอาจแสดงอาการขยอกหรือขย้อนคล้ายมีอะไรอยู่ในลำคอ ขาอ่อนเปลี้ย ทรงตัวไม่ได้ล้มลงแล้วลุกไม่ได้ อัมพาตขึ้นทั่วตัวอย่างรวดเร็ว และตายในที่สุด (ไม่เกิน 10 วัน หรือภายใน 10 วันหลังแสดงอาการ)
- การดูแลเมื่อถูกสัตว์กัด 1.
- ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่หลายๆ ครั้ง เบาๆ เพื่อไม่ให้แผลได้รับความกระทบกระเทือน หากเป็นแผลรูลึกอาจใช้สำลีพันปลายไม้หมุนเข้าไปล้างก้นแผลด้วยก็จะดี ทั้งนี้ เพื่อจะล้างเชื้อออกจากแผลให้มากที่สุด 2.
- เช็ดแผลให้แห้งด้วยผ้าสะอาดหรือสำลี แล้วใส่ยารักษาบาดแผลสดประเภททิงเจอร์ไอโอดีน ยาเหลือง ยาแดง หรือแอลกอฮอล์สำหรับเช็ดแผล เท่าที่จะหาได้ในขณะนั้น 3.
- ไปพบแพทย์เพื่อไปรับการรักษาพยาบาล เช่น ฉีดท็อกซอยล์ป้องกันบาดทะยัก ฉีดยา รับยาไปกินเพื่อลดอาการปวดรักษาการติดเชื้อ รวมทั้งการเย็บแผลและการฉีดหรือไม่ฉีดวัคซีน หรืออิมมูโนโกลบุลิน ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งจะอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ นอกจากนี้ ต้องจัดการสัตว์เลี้ยงที่เป็นต้นเหตุด้วยควรขังหรือล่ามโซ่ที่แข็งแรงไว้ 10 วัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและเพื่อดูอาการของสัตว์ หากไม่ตายภายใน 10 วัน ก็แสดงว่าสัตว์นั้นไม่ได้เป็นโรคพิษสุนัขบ้า แต่ถ้าตายในช่วงเวลาที่กักขังแสดงว่า สัตว์นั้นมีโอกาสเป็นโรคพิษสุนัขบ้าค่อนข้างสูง เนื่องจากสุนัขและแมวจะขับไวรัสออกมากับน้ำลายประมาณ 3-4 วัน ก่อนแสดงอาการ และตลอดเวลาตั้งแต่แสดงอาการจนกระทั่งตาย ระยะเวลาที่มีไวรัสในน้ำลายจนถึงตายของสุนัขและแมวทุกตัวที่ป่วยด้วยโรคนี้ รวมกันแล้วไม่เกิน 10 วัน จึงมีการนำเอาเกณฑ์นี้ไปตัดสินว่าสุนัข หรือแมวตัวใดที่กัดคนหรือสัตว์แล้วไม่ตายภายใน 10 วัน ก็หมายความว่าสัตว์นั้นไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งเกณฑ์นี้เป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์และสาธารณสุขทั่วโลก แต่หากกักขังสัตว์นั้นไม่ได้ ควรทำลายสัตว์นั้นโดยเร็ว ตามวิธีการที่เห็นว่าเหมาะสม แล้วตัดหัวส่งไปตรวจยังห้องปฏิบัติการที่ใกล้ที่สุด หรือจะส่งให้โรงพยาบาลที่เข้าทำการรักษา จะได้มีกระบวนการประสานงานกับห้องปฏิบัติการหรือหน่วยงานที่มีห้องปฏิบัติการ เพื่อทำการตรวจหาเชื้อพิษสุนัขบ้า วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า วัคซีนที่ฉีดในคนทั้งก่อนและหลังรับเชื้อเป็นวัคซีนชนิดเดียวกัน ทำจากการฉีดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าลงบนเซลล์เพาะเลี้ยง แล้วทำให้อ่อนกำลังลงโดยสาร Beta propiolactone แล้วนำไปทดสอบความปลอดภัยโดยต้องปราศจากเชื้ออื่น มีประสิทธิภาพและความคุ้มโรคสูง
- วัคซีนที่ใช้อยู่ในขณะนี้มี 3 ชนิด คือ
- Human Diploid Vaccine (HDVC) ฉีดเขากล้ามเนื้อต้นแขน ครั้งละ 1 หลอด (1 มิลลิลิตร)
- Purified chick-Embryo Cell Vaccine ฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นแขน ครั้งละ 1 หลอด (1 มิลลิลิตร)
- Verorab Tissue culture Rabies Vaccine ฉีดเข้ากล้ามเนื้อแขน ครั้งละ 1 หลอด (0.5 มิลลิลิตร) วัคซีน 3 ชนิดนี้ ใช้ฉีดได้ในปริมาณที่เท่ากันทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ นอกจากนั้น ยังใช้กับสตรีที่ตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัยด้วย และสามารถใช้ทดแทนกันได้ ในกรณีเริ่มต้นด้วยวัคซีนชนิดใดชนิดหนึ่งมาก่อนแล้วหมดลงกระทันหัน ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคนี้ที่ผลิตจากเซลล์เพาะเลี้ยง มีประสิทธิภาพดี มีความคุ้มโรคสูง มีการยืนยันแล้วว่าในประเทศไทยมีสุนัขเป็นพาหะนำโรคที่สำคัญ ดังนั้นหากบ้านไหนเลี้ยงสุนัขล่ะก็ ควรนำสุนัขไปฉีดวัคซีนตั้งแต่อายุ 2 เดือนขึ้นไป ในแมวอาจเริ่มที่อายุ 3 เดือน ควรฉีดกระตุ้นอีกครั้งในช่วงอายุ 3-6 เดือน และฉีดซ้ำทุกๆ ปี ส่วนในคนนั้น
- การป้องกันโรคแบ่งได้ 2 ขั้นตอน คือ ก่อนรับเชื้อและหลังรับเชื้อ
- การป้องกันก่อนรับเชื้อ ซึ่งคล้ายกับวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆ เป็นการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรคขึ้นมา แต่การฉีดวัคซีนก่อนการรับเชื้อนี้จะไม่ทำในคนทั่วไป เพราะสิ้นเปลืองมาก จึงทำกันเฉพาะในกลุ่มความเสี่ยงสูง เช่น สัตวแพทย์ที่ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ บุรุษไปรษณีย์ พ่อค้าในการขายสัตว์เลี้ยง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ เป็นต้น
- การป้องกันหลังรับเชื้อ ไม่ถือว่าเป็นการรักษาเหมือนโรคอื่นๆ โดยทั่วไปจะฉีด 5 ครั้ง เข็มที่ 1 ฉีดในวันแรกที่ไปพบแพทย์ เข็มที่ 2-5 จะฉีดในวันที่ 3, 7,14 และ 30 ตามลำดับ ผู้ที่รับเชื้อบางรายที่ถูกกัดเป็นแผลฉกรรจ์ มีแผลหลายแผล หรือมีบาดแผลที่ใกล้สมองส่วนกลาง หรือมีแผลที่เชื้อไวรัสเข้าสู่เส้นประสาทได้เร็วหรือง่าย เช่น นิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อมือ หรือบริเวณศีรษะหรือใบหน้า การฉีดวัคซีนอย่างเดียวไม่พอ จำเป็นต้องฉีดอิมมูโนโกลบูลินร่วมด้วย เพื่อเป็นการยืดเวลาให้ระยะฟักตัวของโรคนานขึ้น จนกระทั่งร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ทันจากการฉีดวัคซีน ผู้รับเชื้อจะปลอดภัยยิ่งขึ้น การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ การเก็บตัวอย่างส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์ เมื่อสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าตายลงให้ตัดหัว หรือถ้าสัตว์นั้นมีขนาดเล็กให้ส่งตรวจ ได้ทั้งตัว ตัวอย่างที่ส่งตรวจต้องใส่ถุงพลาสติกให้มิดชิด ห่อด้วยกระดาษหลาย ๆ ขั้น และใส่ถุงพลาสติก อีกชั้นหนึ่ง ปิดปากถุงให้สนิท เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแพร่กระจาย จากนั้นนำใส่ภาชนะเก็บความเย็น ที่บรรจุน้ำแข็ง ปิดฉลาก ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ผู้ส่งตรวจ และวัน เดือน ปี ที่เก็บตัวอย่างส่งตรวจให้ชัดเจน รีบนำส่งห้องปฏิบัติการทันที สิ่งที่ต้องระวังคือ ผู้ที่ตัดหัวสัตว์ต้องไม่มีแผลที่มือ และต้องใส่ถุงมือยางหนา ซากสัตว์ที่เหลือให้ฝังดินลึกประมาณ 50 ซม. มีดที่ใช้ตัดหัวสัตว์ เครื่องมือที่ใช้ต้องต้มให้เดือด 30 นาที เพื่อฆ่าเชื้อ และบริเวณที่ตัดหัวสัตว์ต้องล้างทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
- การเก็บตัวอย่างส่งตรวจโรคพิษสุนัขบ้าในผู้ป่วย 1.
- ในกรณีที่ผู้ป่วยยังมีชีวิตอยู่
- น้ำลาย : เก็บน้ำลายตั้งแต่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการ และเก็บเป็นระยะ ในวันที่ 4, 5, 6, 12 และ 24 หลังเริ่มแสดงอาการ โดยวิธี Suction จากบริเวณต่อมน้ำลาย หรือเก็บจากน้ำลายที่ไหลออกมาใส่ภาชนะปราศจากเชื้อประมาณ 5 - 10 มล.
- ปมรากผมท้ายทอย : ถอนเส้นผมให้ติดปมรากผมจากบริเวณท้ายทอย ประมาณ 10-20 เส้น ใส่ภาชนะปราศจากเชื้อ
- ปัสสาวะ : เก็บตั้งแต่มีอาการและเก็บเป็นระยะ ๆ เช่นเดียวกับการเก็บน้ำลายในข้อ 1.1 ใส่ใน ภาชนะปราศจากเชื้อ ประมาณ 20 มล.
- น้ำไขสันหลัง : เก็บน้ำไขสันหลังประมาณ 3-5 มล. ในวันที่ 7 และ 14 หลังจากเริ่มมีอาการใส่ ภาชนะที่ปราศจากเชื้อ
- น้ำเหลือง : เจาะเลือดประมาณ 5 มล. ใส่ในภาชนะที่ปราศจากเชื้อ 2.
- ในกรณีที่ผู้ป่วยเสียชีวิต
- ชิ้นเนื้อท้ายทอย : ตัดชิ้นเนื้อบริเวณท้ายทอยแช่ในน้ำเกลือ (0.85% NaCl) ใส่ในภาชนะปราศจากเชื้อ
- เซลล์กระจกตา : นำสไลด์ที่สะอาดปราศจากเชื้อที่ได้ทำเครื่องหมายไว้แล้ว แตะบนกระจกตาของ ผู้ป่วยจำนวน 3 แผ่น ๆ ละ 2 จุด ทิ้งให้แห้งที่อุณหภูมิห้อง 10 นาที
- เนื้อสมอง : ให้เก็บเนื้อสมองส่วน Hippocampus และ Brain stem ใส่ภาชนะปราศจากเชื้อ