วันนี้ (7 มกราคม 2568) นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึง กรณีชาวบ้านกินหมูดิบงานบุญปีใหม่เสียชีวิต 1 ราย และป่วยอีกหลายราย เบื้องต้นจากการสอบสวนโรค ในพื้นที่อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ พบชาวบ้านที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ทั้งผู้ที่รับประทานเนื้อหมูสด ก้อยหมูดิบในงาน รวมถึงชำแหละเนื้อหมู และทำอาหารสัมผัสกับหมูสด-เลือดหมู มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และมีผู้ที่มีอาการโคม่า 1 ราย โดยในส่วนที่เหลือที่ยังไม่มีอาการ ก็ต้องเฝ้าระวังสังเกตอาการใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้นจึงขอย้ำเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการกินหมูดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะหากติดเชื้อโรคไข้หมูดิบแล้ว อาจทำให้สูญเสียการได้ยินหรือที่เรียกว่าหูดับจนถึงขั้นหูหนวกถาวรหรือเสียชีวิตได้
โรคไข้หมูดิบเกิดจากการกินเนื้อหมู หรือเลือดหมูสุก ๆ ดิบ ๆ ที่มีเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอกคัส ซูอิส (Streptococcus suis) ปนเปื้อนอยู่ โดยเชื้อนี้จะอยู่ในทางเดินหายใจของหมู และเลือดของหมูที่กำลังป่วย สามารถติดต่อผ่านทางทางบาดแผล รอยขีดข่วนตามร่างกายหรือทางเยื่อบุตา หรือการสัมผัสเลือดของหมูที่กำลังป่วย เมื่อได้รับเชื้อประมาณ 1-14 วัน ผู้ติดเชื้อจะมีไข้สูง ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะจนทรงตัวไม่ได้ อาเจียน คอแข็ง สูญเสียการได้ยิน ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้
นายแพทย์ภานุมาศ กล่าวเพิ่มเติมว่า วิธีการป้องกันโรคไข้หมูดิบ คือ 1.รับประทานเนื้อหมู หรือเลือดหมู ที่ปรุงสุกเท่านั้น ผ่านความร้อนอย่างน้อย 60-70 องศาเซลเซียส ในเวลา 10 นาที เป็นอย่างต่ำ 2.อาหารปิ้งย่าง ควรแยกอุปกรณ์ที่ใช้คีบเนื้อหมูดิบและสุกออกจากกัน และขอให้ยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” 3.ไม่ใช้เขียงของดิบและของสุก ผัก หรือผลไม้ร่วมกัน 4.เลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่มีมาตรฐาน เชื่อถือได้ ไม่ควรซื้อจากแหล่งที่ไม่ทราบที่มาของหมู ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ 5.ไม่สัมผัสเนื้อหมูและเลือดดิบด้วยมือเปล่า โดยเฉพาะ ผู้เลี้ยงหมู ผู้ที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ ผู้ที่ชำแหละเนื้อหมู สัตวบาล สัตวแพทย์ ขณะทำงานควรสวมรองเท้าบูทยาง และสวมถุงมือ หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด และล้างมือหลังสัมผัสหมูทุกครั้ง 6.หากมีอาการป่วยสงสัยโรคไข้หมูดิบ โดยมีไข้สูง ปวดศีรษะ ร่วมกับประวัติเสี่ยง ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที แจ้งประวัติการกินหมูดิบและสัมผัสเนื้อหมูดิบให้ทราบ ทั้งนี้ หากมาพบแพทย์และวินิจฉัยได้เร็ว ได้รับยาปฏิชีวนะเร็ว จะช่วยลดอัตราการเกิดหูหนวกและการเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงที่หากติดเชื้อจะมีอาการป่วยรุนแรง เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำ ได้แก่ ผู้ติดสุราเรื้อรัง ผู้มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือผู้ที่เคยตัดม้ามออก เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
****************************
ข้อมูลจาก : กองโรคติดต่อทั่วไป/กองระบาดวิทยา/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
วันที่ 7 มกราคม 2568