สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
Responsive image

กรมควบคุมโรค ห่วงใย ช่วงปิดเทอมฤดูร้อน 3 เดือน (มีนาคม - พฤษภาคม) “เด็กเสี่ยงจมน้ำสูงสุด”

       วันนี้ (11 มีนาคม 2568) นายแพทย์ภาณุมาศ ญาณเวทย์สกุล อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากข้อมูลกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปีที่ผ่านมา (ปี พ.ศ. 2567) มีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี จมน้ำเสียชีวิตในช่วงฤดูร้อน (เดือนมีนาคม - พฤษภาคม) ซึ่งตรงกับช่วงปิดเทอมถึง 173 ราย เฉลี่ยวันละเกือบ 2 ราย เดือนมีนาคมมีการจมน้ำมากที่สุด 70 ราย รองลงมาคือเดือนเมษายน 58 ราย และเดือนพฤษภาคม 45 ราย ซึ่งข้อมูลการเสียชีวิตดังกล่าว พบว่าเป็นกลุ่มอายุ 10 - 14 ปี เสียชีวิตมากที่สุด (ร้อยละ 39.3) รองลงมา คือ อายุ 5 - 9 ปี (ร้อยละ 32.4) และอายุ 0 - 4 ปี (ร้อยละ 28.3) โดยเพศชายจมน้ำสูงกว่าเพศหญิงถึง 2.8 เท่าตัว โดยจังหวัดที่มีจำนวนการเสียชีวิตสูงที่สุด คือ นครราชสีมา (13 คน) ปัตตานี (9 คน) ศรีสะเกษและอุดรธานี (จังหวัดละ 8 คน) และจากข้อมูลระบบรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการตกน้ำ จมน้ำ (Drowning Report) ของกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค ช่วงฤดูร้อนในเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ปี พ.ศ. 2567 พบว่า แหล่งน้ำที่พบเด็กจมน้ำมากที่สุด คือ แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ (บ่อขุด/สระน้ำ/คลอง/แม่น้ำ) (ร้อยละ 72.3) รองลงมา คือ เขื่อน/อ่างเก็บน้ำ/ฝาย (ร้อยละ 10.9) และสระว่ายน้ำ/สวนน้ำ (ร้อยละ 5.8) และโดยสาเหตุเกิดจากการไปเล่นน้ำมากที่สุด (ร้อยละ 72.3) รองลงมาคือ พลัดตกลื่น (ร้อยละ 14.9) ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ ขาดการดูแล (ร้อยละ 40.2) และขาดความรู้เรื่องแหล่งน้ำเสี่ยง (ร้อยละ 29.7) โดยขณะเกิดเหตุมากกว่าครึ่งอยู่กับเพื่อน (ร้อยละ 55.0) ช่วงเวลาเกิดเหตุสูงที่สุดคือเวลา 12.00 - 17.59 น. (ร้อยละ 65.1) นอกจากนี้ ยังพบว่าเกือบทั้งหมดไม่สวมเสื้อชูชีพ (ร้อยละ 97.3) ซึ่งภายหลังเกิดเหตุเด็กที่จมน้ำส่วนใหญ่เสียชีวิต (ร้อยละ 65.1) และเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล (ร้อยละ 27.5)


       นายแพทย์ดิเรก ขำแป้น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ข้อแนะนำที่สำคัญในการป้องกันการจมน้ำ ในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้ปกครอง/ผู้ดูแลเด็กควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด โดยต้องอยู่ในระยะที่มองเห็น คว้าถึงและเข้าถึง และไม่ปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพัง หรืออยู่กับพี่ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในกลุ่มเด็กโต ควรสอนให้เด็กรู้กฎความปลอดภัยทางน้ำ เช่น ไม่เล่นใกล้แหล่งน้ำ ไม่เล่นน้ำคนเดียว ไม่เล่นน้ำกันเองโดยไม่มีผู้ใหญ่ไปด้วย ไม่แกล้งจมน้ำ รู้จักประเมินแหล่งน้ำเสี่ยง ใส่เสื้อชูชีพทุกครั้ง และตลอดเวลาที่ทำกิจกรรมทางน้ำหรือนั่งเรือ และหากพบเห็นคนตกน้ำ ไม่ควรกระโดดลงไปช่วย เพราะอาจจมน้ำพร้อมกันได้ ควรใช้มาตรการ “ตะโกน โยน ยื่น” คือ 1) ตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือ 2) โยนอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัวเพื่อให้คนตกน้ำเกาะจับพยุงตัว เช่น ถังแกลลอนพลาสติกเปล่าปิดฝาหรือวัสดุที่ลอยน้ำได้ และ 3) ยื่นอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้ตัว เช่น ไม้ เชือก เสื้อ ผ้าขาวม้า ให้คนตกน้ำจับและดึงขึ้นมาจากน้ำ 
       แพทย์หญิงศิริรัตน์ สุวรรณฤทธิ์  ผู้อำนวยการกองป้องกันการบาดเจ็บ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ชุมชนควรมีการเฝ้าระวังแหล่งน้ำเสี่ยงในชุมชน ไม่ปล่อยให้เด็กลงไปเล่นน้ำ และมีการจัดการแหล่งน้ำเสี่ยงให้เกิดความปลอดภัย สำหรับสถานที่ที่เปิดให้บริการเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำควรดำเนินการ ดังนี้ ติดป้ายคำเตือน จัดให้มีอุปกรณ์ช่วยคนตกน้ำบริเวณแหล่งน้ำ มีเสื้อชูชีพให้บริการและให้ใส่ทุกครั้งที่ทำกิจกรรมทางน้ำ กำหนดบริเวณสำหรับเล่นน้ำแยกออกจากบริเวณสัญจรทางน้ำ มีเจ้าหน้าที่ lifeguard คอยดูแล รวมถึงการประชาสัมพันธ์ในการดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422


******************************
ข้อมูลจาก : กองป้องกันการบาดเจ็บ/สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค
วันที่ 11 มีนาคม 2568


ข่าวสารอื่นๆ