สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
Responsive image

กรมควบคุมโรค แถลงข่าว “สุขภาพดีหน้าฝน รู้เท่าทัน ป้องกันโรคภัยอย่างถูกวิธี” พร้อมแนะวิธีดูแลตนเองในช่วงหน้าฝนนี้

       


       วันนี้ (29 กรกฎาคม 2568) แพทย์หญิงจุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค และนายแพทย์วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค ดำเนินการแถลงข่าวในหัวข้อ “สุขภาพดีหน้าฝน รู้เท่าทัน ป้องกันโรคภัยอย่างถูกวิธี” พร้อมแนะวิธีดูแลตนเองในช่วงหน้าฝนนี้

       โควิด 19 ตั้งแต่ 1 มกราคม - 28 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วย 603,363 ราย ผู้เสียชีวิต 247 ราย อัตราป่วยตาย 0.04% ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 24 มีแนวโน้มผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ จากจำนวนผู้เสียชีวิตที่ระบุข้อมูลโรคประจำตัวในระบบเฝ้าระวังโรค 107 ราย พบว่าเป็นกลุ่ม 608 ร้อยละ 94 โดยมีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน จำนวน 42 เหตุการณ์ ส่วนใหญ่พบในสถานศึกษา เรือนจำ ค่ายทหาร และสถานพยาบาล โดยข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบการระบาดของสายพันธุ์ NB.1.8.1 เป็นสายพันธุ์หลักแต่มีสัดส่วนลดลง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2568 องค์การอนามัยโลกประกาศให้สายพันธุ์ XFG เป็นสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง โดยสายพันธุ์ XFG เกิดจากการผสมกันของสายพันธุ์ LF.7 และ LP.8.1.2 แต่ยังไม่มีหลักฐานว่าทำให้เกิดโรครุนแรงมากขึ้น

       โรคไข้หวัดใหญ่  ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 28 กรกฎาคม 2568 ผู้ป่วยสะสม 418,818 ราย มีผู้เสียชีวิต 53 ราย มีโรคประจำตัว 32 ราย (ร้อยละ 60.38) เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง วัณโรคปอด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง และภาวะบกพร่องทางสติปัญญา เป็นต้น แนวโน้มผู้ป่วยคงที่แต่ยังสูงกว่าปี 2567 กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 5 - 9 ปี, 0 - 4 ปี และ 10 - 14 ปี ตามลำดับ เป็นผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล (IPD) 57,662 ราย (13.77%) โดยสายพันธุ์ที่ตรวจพบมากที่สุด เป็น A/H1N1 (pmd09) 47.62% รองลงมา คือ B (Victoria) (27.98%) และ A/H3N2 (24.40%) ตามลำดับ พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน จำนวน 48 เหตุการณ์ ส่วนใหญ่พบในโรงเรียน เรือนจำ ค่ายทหาร  สถานพยาบาล ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ สถานสงเคราะห์ ชุมชน วัด สถานบำบัด และศูนย์ฝึกอบรม

       โรคติดเชื้อไวรัส RSV ปี 2568 พบผู้ป่วย 1,556 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 0 - 4 ปี แนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นและสูงกว่าปี 2567 ปัจจุบันกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลระบาดของเชื้อไวรัส RSV ทั้งนี้ การติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV) เป็นการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง สามารถเกิดการติดเชื้อได้ในทุกกลุ่มอายุ แต่อาการจะรุนแรงในเด็กเล็ก เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี รวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคปอด โรคหัวใจ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายผิดปกติ เป็นต้น สามารถติดต่อได้ ผ่านการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรือสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่ง เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ลูกบิดประตู ของเล่น ฯลฯ เชื้อ RSV สามารถมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายชั่วโมง และสามารถอยู่ที่มือของเราได้นานประมาณ 30 นาที มีระยะฟักตัวอยู่ที่ 2 - 8 วัน โดยส่วนใหญ่เฉลี่ย 4 - 6 วัน การรักษาโรค RSV ในปัจจุบันเป็นการรักษาตามอาการ ยังไม่มียาต้านไวรัสที่จำเพาะ

       โรคปอดอักเสบ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 18 กรกฎาคม 2568 ผู้ป่วยสะสม 245,337 ราย ผู้เสียชีวิต 402 ราย อัตราป่วยตาย ร้อยละ 0.164 มีแนวโน้มผู้ป่วยลดลง ผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล (IPD) 75,694 ราย (30.85%) กลุ่มอายุที่พบอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 0 - 4 ปี รองลงมาคือ 60 ปีขึ้นไป และ 5 - 9 ปี ตามลำดับ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป รองลงมาคือ 50 - 59 ปี และ 40 - 49 ปี ตามลำดับ

       คำแนะนำสำหรับโรคติดเชื้อเฉียบพลันระบบทางเดินหายใจ สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าไปในที่ที่มีคนรวมตัวกันจำนวนมาก ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ หากป่วยติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ควรหยุดพักรักษาตัวจนกว่าจะหายเป็นปกติ แนะนำ 7 กลุ่มเสี่ยง เข้ารับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันเป็นประจำทุกปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายที่สถานพยาบาลของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนที่ร่วมโครงการ ในช่วงเดือนพฤษภาคม - สิงหาคม 2568

       โรคไข้เลือดออก ปี 2568 พบผู้ป่วย 30,792 ราย ผู้เสียชีวิต 29 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยเรียน แต่อัตราป่วยตายสูงในกลุ่มอายุ 45 ปี ขึ้นไป มีการพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้เสียชีวิตเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ปัจจัยเสี่ยงในผู้ป่วยเสียชีวิต คือ มีโรคประจำตัว ได้รับยา NSAIDs ไปโรงพยาบาลช้า ติดสุรา และมีภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐาน แนะประชาชน ทายากันยุง ใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด หากค้างคืนในป่า เขา ไร่ นา ต้องนอนในมุ้ง หรือหามุ้งคลุมเปล หากมีไข้สูง 1 - 2 วัน รับประทานยาลดไข้ เช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลดปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หรือมีผื่นจุดแดงขึ้นตามตัว ควรรีบไปพบแพทย์ และห้ามรับประทานยาลดไข้ชนิดอื่นนอกจากพาราเซตามอล

       โรคมือเท้าปาก ปี 2568 พบผู้ป่วย 34,287 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ 0 - 4 ปี, 5 - 9 ปี, 10 - 14 ปี ตามลำดับ โรคมือเท้าปาก มักเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Enterovirus มีระยะฟักตัว 3 - 5 วัน หลังจากได้รับเชื้อ สามารถติดต่อทางตรงได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำมูก น้ำลาย และอุจจาระของผู้ป่วย และติดต่อทางอ้อมจากการสัมผัสผ่านของเล่น และจุดสัมผัสร่วมกันที่อาจเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อ เช่น ก๊อกน้ำดื่ม ราวบันได คำแนะนำสำหรับประชาชน 1. สอนให้เด็กล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อย ๆ รวมทั้งก่อนรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม หลังเข้าห้องน้ำ หรือสัมผัสสิ่งสกปรก 2. ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น 3.หลีกเลี่ยงการนำเด็กเข้าไปในสถานที่แออัด ในช่วงที่มีการระบาด 4. หากพบบุตรหลานป่วย ควรแยกออกจากเด็กอื่นในครอบครัวและพาไปพบแพทย์ 5. หากเด็กป่วยควรหยุดเรียนตามคำแนะนำของแพทย์ หรือจนกว่าจะพ้นระยะของการแพร่เชื้อ คำแนะนำสำหรับสถานศึกษา 1. คัดกรองเด็กนักเรียนก่อนเข้าสถานศึกษา และแยกเด็กที่ป่วยออกจากเด็กปกติ 2. หากพบว่าเด็กป่วย ควรแจ้งให้ผู้ปกครองรับกลับไปดูแลรักษาที่บ้านจนกว่าจะหาย 3. จัดให้มีอ่างล้างมือ และสบู่ล้างมือให้เพียงพอ 4. หากพบเด็กป่วยตั้งแต่ 2 รายขึ้นไป ในห้องเดียวกันภายใน 1 สัปดาห์ ให้ปิดห้องเรียนอย่างน้อย 1 วัน เพื่อทำความสะอาด 5. ทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสในห้องเรียน สิ่งของเครื่องใช้ ของเล่น ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือโซเดียมไฮโปรคลอไรด์ และควรแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่รับผิดชอบทราบ ทั้งนี้ น้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดพื้นผิว และของใช้ต่างๆ สามารถใช้ผงซักฟอก หรือน้ำยาฟอกขาว (20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 1 ลิตร) ราดทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด

       โรคติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส ซูอิส (ไข้หมูดิบ) ปี 2568 พบผู้ป่วย 593 ราย ผู้เสียชีวิต 37 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 50 - 59 ปี, 40 - 49 ปี ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุ 50 - 59 ปี รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป พบการระบาดแบบกลุ่มก้อน จำนวน 2 เหตุการณ์ ที่จังหวัดกำแพงเพชร 1 เหตุการณ์ พบผู้ป่วย จำนวน 14 ราย เสียชีวิต 1 ราย และจังหวัดบุรีรัมย์ 1 เหตุการณ์ พบผู้ป่วย จำนวน 3 ราย เสียชีวิต 1 ราย แนะประชาชน 1. รับประทานเนื้อหมู เครื่องในหมู และเลือดหมูที่ปรุงสุกเท่านั้น ผ่านความร้อนอย่างน้อย 60 - 70 องศาเซลเซียส นานอย่างน้อย 10 นาที โดยต้องสุกทุกส่วน 2. ใช้อุปกรณ์ป้องกันทุกครั้ง เช่น ถุงมือ ที่คีบ เมื่อต้องสัมผัสหมู และล้างมือหลังสัมผัสทุกครั้ง 3. ไม่ใช้อุปกรณ์ทำอาหารกับเนื้อหมูดิบ ของปรุงสุก ผัก หรือผลไม้ร่วมกัน 4. เลือกซื้อเนื้อหมูจากแหล่งที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้ ไม่ซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ 5.เก็บเนื้อหมูสดในภาชนะปิด ไม่รั่วซึม และเก็บในช่องแช่เย็นแยกกับผักสดหรือของสุก เพื่อป้องกันการปนเปื้อน 6.หากมีอาการป่วย สงสัยโรคไข้หมูดิบ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ร่วมกับประวัติเสี่ยง ขอให้รีบไปพบแพทย์ทันที แจ้งประวัติการกินหมูดิบและสัมผัสเนื้อหมูดิบให้แพทย์ทราบ ทั้งนี้ หากมาพบแพทย์และวินิจฉัยได้เร็ว ได้รับยาปฏิชีวนะเร็ว จะช่วยลดอัตราการเกิดหูหนวกและการเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงที่หากติดเชื้อจะมีอาการป่วยรุนแรง เช่น ผู้ติดสุราเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เป็นต้น

       โรคเมลิออยโดสิส (โรคไข้ดิน) ปี 2568 พบผู้ป่วย 2,036 ราย ผู้เสียชีวิต 92 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มอาชีพที่พบผู้ป่วยสูงสุด คือ เกษตรกรรม พบผู้ป่วยจำนวนมากในภาตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดที่มีอัตราป่วยสูงสุด 3 อันดับแรก คือ มุกดาหาร ยโสธร และนครพนม จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด คือ บุรีรัมย์ และนครราชสีมา โรคไข้ดินเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei สามารถพบเชื้อได้ที่แหล่งดินและน้ำตามธรรมชาติ ทั่วประเทศไทย สามารถติดต่อได้ผ่านทางผิวหนัง โดยการสัมผัสดินและน้ำเป็นเวลานาน โดยไม่จำเป็นต้องมีบาดแผล และในส่วนน้อยสสามารถติดได้ผ่านการดื่มน้ำและกินอาหารที่ปนเปื้อน รวมถึงผ่านการหายใจโดยการสูดดมละอองฝุ่นดินขณะเกิดพายุฝน (พบรายงานในต่างประเทศ) มีระยะฟักตัว 1 วัน ไปจนถึงหลายปี โดยทั่วไปอาการมักเกิดขึ้นใน 1 - 4 สัปดาห์ หลังได้รับเชื้อ หากติดเชื้อในกระแสเลือด แล้วไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เสี่ยงเสียชีวิตสูง แนะประชาชน 1. หลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือสัมผัสดินและน้ำโดยตรง หากจำเป็นหลังลุยน้ำ ย่ำโคลน ให้รีบชำระล้างร่างกายด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที 2. ทานอาหารปรุงสุก ดื่มน้ำสะอาดที่บรรจุภัณฑ์มาตรฐานหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง 3. น้ำที่ใช้อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ควรเป็นน้ำสะอาด ที่มีระดับคลอรีนตามมาตรฐาน 4. หลีกเลี่ยง การสูดลมฝุ่นและการอยู่ท่ามกลางสายฝน 5. หากมีไข้สูงต่อเนื่อง 2 วัน ร่วมกับมีประวัติการสัมผัสดินและน้ำ ให้รีบพบแพทย์ทันที โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้ป่วยโรคเบาหวาน

       โรคเลปโตสไปโรสิส (โรคไข้ฉี่หนู) 1 มกราคม - 17 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วยสะสม 1,895 ราย มีผู้เสียชีวิต 25 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป, 50 - 59 ปี และ 30 - 39 ปี ตามลำดับ กลุ่มอายุที่พบผู้เสียชีวิตมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป, 50 - 59 ปี และ 40 - 49 ปี ตามลำดับ โรคเลปโตสไปโรสิส เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เกิดจากการติดเชื้อ “เลปโตสไปร่า” มีระยะฟักตัว 2 - 30 วัน แต่ส่วนใหญ่มักเกิดภายใน 5 - 14 วัน หลังลุยน้ำย่ำโคลน สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสกับปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อ สัมผัสกับน้ำหรือดินที่ปนเปื้อนเชื้อ กินอาหารที่ปนเปื้อนกับปัสสาวะของสัตว์ แนะประชาชน 1. หลีกเลี่ยงการลุยน้ำย่ำโคลน หรือลงแช่น้ำเป็นเวลานาน 2. หากจำเป็น ควรสวมรองเท้าบู๊ต ถุงมือยาง ขณะลุยน้ำท่วมขัง ย่ำดินชื้นแฉะ หรือทำความสะอาดบ้านเรือนหลังน้ำลด 3. หลังลุยน้ำย่ำโคลนหรือลงแช่น้ำให้ ล้างมือ ล้างเท้า หรืออาบน้ำด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที 4. หากมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตัวหรือปวดกล้ามเนื้อ หลังเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือลงแช่น้ำ 1 - 2 สัปดาห์ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการเดินลุยน้ำให้แพทย์ทราบ

       โรคแอนแทรกซ์ วันที่ 1 มกราคม - 18 กรกฎาคม 2568 พบผู้ป่วย 7 ราย เสียชีวิต 1 ราย ทั้งนี้ อาการของผู้ที่ติดเชื้อ 95 - 99% ของผู้ป่วยมักเป็นที่มือ แขน คอ หรือขา เริ่มจากเป็นตุ่มแข็งเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำใส และแตกเป็นแผลหลุมดำคล้ายบุหรี่จี้ อัตราป่วยตาย 5 - 20% หรืออาจมาด้วยอาการทางระบบทางเดินอาหาร กรณีรุนแรงสุดแต่พบไม่บ่อย อาการในช่วงแรกจะคล้ายกับผู้ป่วยทางเดินหายใจตอนบน จากนั้นจะหายใจขัด หายใจลำบาก และอาจเสียชีวิตได้ จากระบบหายใจ อาการของสัตว์ที่เชื้อ คือ มีไข้สูง ไม่กินหญ้า น้ำลายปนเลือด หายใจลำบาก ยืนโซเซ กล้ามเนื้อกระตุก ชัก เสียชีวิตกระทันหัน มีเลือดไหลออกจากปาก จมูก และรูทวาร อวัยวะเพศ เลือดมีลักษณะเป็นสีดำๆ ไม่แข็งตัว กลิ่นเหม็นคาวจัด ซากสัตว์จะนิ่ม และเน่าอืดเร็ว แนะประชาชน 1. ห้ามนำสัตว์ป่วยตายหรือสัตว์ที่ไม่ทราบแหล่งที่มามาชำแหละ ขาย หรือรับประทาน 2. สวมอุปกรณ์ป้องกันก่อนสัมผัสสัตว์ และชำระล้างร่างกายทุกครั้งหลังสัมผัสสัตว์ 3. รับประทานอาหารที่ผ่านการปรุงสุกเท่านั้น ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ 4. เฝ้าระวังสัตว์ป่วยตายในพื้นที่ เมื่อพบสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคให้แยกสัตว์ป่วยออกจากฝูง เมื่อพบสัตว์ป่วยตายให้รีบแจ้งปศุสัตว์อำเภอ เพื่อทำการตรวจสอบหาสาเหตุ และดำเนินการควบคุมโรค 5. ห้ามเคลื่อนย้าย ผ่าซาก ชำแหละเนื้อหรือหนังสัตว์ที่ตาย

       โรคไข้หวัดนก สถานการณ์ทั่วโลก มีผู้ป่วยสะสมโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ A(H5N1) จำนวน 986 ราย ผู้เสียชีวิต 473 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 48 สำหรับกัมพูชา ปี 2568 พบผู้ป่วย 13 ราย เสียชีวิต 6 ราย ทั้งนี้ ประเทศไทยความเสี่ยงยังอยู่ในระดับต่ำ แต่ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง แนะประชาชน รับประทานอาหารที่ปรุงสุก โดยเฉพาะสัตว์ปีก ไข่ และผลิตภัณฑ์จากโคนม หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ปีก สุกรหรือโคนม ที่ป่วยหรือตายผิดปกติ ควรสวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ และล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัส เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก สุกร และโคนม หากพบสัตว์ปีกป่วยตายจำนวนมาก ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ หากมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ หรือตาแดงอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ สำหรับประชาชนที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดต้องหมั่นติดตามข่าวสารการระบาดของพื้นที่ที่จะเดินทางไป กรณีเดินทางกลับจากต่างประเทศหากมีอาการป่วยคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ให้รีบไปพบแพทย์ พร้อมแจ้งประวัติการสัมผัสสัตว์และประวัติการเดินทาง

       โรคหัด วันที่ 1 มกราคม - 21 กรกฎาคม 2568 มีรายงานผู้ป่วยไข้ออกผื่นหรือสงสัยหัด หัดเยอรมัน สะสม 1,524 ราย เป็นผู้ป่วยยืนยันโรคหัดหรือมีความเชื่อมโยงทางระบาดวิทยา 473 ราย (ยืนยัน 401 ราย มีประวัติเชื่อมโยง 72 ราย) มีภาวะปอดอักเสบ 21 ราย สถานการณ์โรคหัดในประเทศไทย พบผู้ป่วยกระจายทุกภูมิภาคโดยเฉพาะในภาคตะวันออก และทางตอนล่างภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบอัตราป่วยในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มากที่สุด ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคหัด สามารถแพร่กระจายเชื้อผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) ได้ตั้งแต่ 4 วันก่อนผื่นขึ้น ไปจนถึง 4 วันหลังจากเริ่มมีผื่นขึ้น เมื่อพบผู้ป่วยที่สงสัยโรคหัด ควรแยกผู้ป่วย ไม่ให้คลุกคลีกับผู้อื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ แนะประชาชน 1. นำเด็กเข้ารับวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุด โดยแนะนำฉีดเข็มที่ 1 เมื่ออายุ 9 เดือน และเข็มที่ 2 เมื่ออายุ 1 ปี 6 เดือน ทั้งนี้ ในพื้นที่ที่ไม่มีการระบาด แพทย์อาจพิจารณาให้เข็มแรกช่วงอายุ 9 - 12 เดือน ตามดุลยพินิจทางการแพทย์ หากเด็กยังได้รับวัคซีนไม่ครบ 2 เข็ม ขอให้ผู้ปกครองพาเข้ารับวัคซีนให้ครบเร็วที่สุด 2. หลีกเลี่ยงสถานที่ที่คนพลุกพล่านในพื้นที่ระบาด สวมหน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่างจากผู้อื่น 3. สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรคหัด และไม่เคยรับวัคซีน ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดและหัดเยอรมัน ให้ครบ 2 เข็ม หรืออย่างน้อย 1 เข็มก่อนการเดินทางอย่างน้อย 2 สัปดาห์ 4. กรณีเดินทางกลับจากประเทศที่มีการระบาดของโรค เช่น สหรัฐอเมริกา แคนนาดา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ มองโกเลีย เกาหลีใต้ (ข้อมูล ณ วันที่ 16 กรกฎาคม 2568) ให้สังเกตอาการผิดปกติตนเอง หากมีอาการไข้ ผื่น ตาแดง น้ำมูกไหล มีจุดขาวเล็ก ๆ ขอบสีแดงในกระพุ้งแก้ม ควรรีบพบแพทย์ทันที พร้อม​แจ้งประวัติการเดินทาง และสวมหน้ากากอนามัยหากมีอาการป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

       การจมน้ำ คนไทยเสียชีวิตจากการจมน้ำเฉลี่ย 3,687 คน/ปี เฉลี่ยวันละ 10 คน โดยในปี 2558 - 2567 กลุ่มอายุที่เสียชีวิตมากที่สุด คือ 45 - 59 ปี รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป สาเหตุในกลุ่มเด็กเกิดจากการเล่นน้ำมากที่สุด รองลงมา คือ พลัดตกลื่น ในกลุ่มผู้ใหญ่เกิดจากการประกอบอาชีพ เช่น หาหอย หาปลา เก็บผัก มากที่สุด รองลงมา คือ พลัดตกลื่น ซึ่งแหล่งน้ำที่มีการจมน้ำมากที่สุด ได้แก่ แหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและแหล่งน้ำตามธรรมชาติ รองลงมา คือ เขื่อน ฝ่าย อ่างเก็บน้ำ ทั้งให้กลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ โดยเกือบทั้งหมดของคนที่จมน้ำไม่สวมชูชีพ แนะประชาชน 1. อย่าเดินหรืออยู่ใกล้บริเวณขอบบ่อ เพราะอาจเกิดการลื่นไถลลงไปในน้ำ 2. ทำสัญลักษณ์/ป้ายเตือน/แนวกั้น เพื่อให้สังเกตเห็นขอบบ่อได้ชัดเจน 3. ผู้ปกครองไม่ควรปล่อยให้เด็กลงไปในน้ำ 4. ไม่ควรลงไปในน้ำ เพราะระดับน้ำ กระแสน้ำ และพื้นใต้น้ำ มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 5. หากจำเป็นต้องลงน้ำ ควรสวมเสื้อชูชีพ หรือนำถังแกลลอนพลาสติกเปล่าผูกเชือกสะพายไว้กับตัว เพื่อช่วยในการพยุงตัวเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

       ไฟดูด ไฟช็อต ปี 2568 พบผู้บาดเจ็บ 189 ราย ผู้เสียชีวิต 15 ราย โดยอาชีพที่พบผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด คือ ผู้ใช้แรงงาน กลุ่มอายุที่พบผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด คือ 30 - 59 ปี แนะประชาชน ยึดหลัก 4 ย. “โยก ย้าย อย่า หยุด” โยก คือ โยกปิดสายไฟลงทันที เมื่อเกิดน้ำท่วม ย้าย คือ ย้ายเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนน้ำท่วม เพราะอาจมีกระแสไฟฟ้ารั่ว อย่า คือ อย่าแตะสวิตช์ไฟ หรือเดินเข้าใกล้อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เสาเหล็กที่เป็นสื่อนำไฟฟ้า ขณะที่ร่างกายเปียก หยุด คือ หยุดใช้อุกรณ์ไฟฟ้าที่น้ำท่วม ควรให้ช่างตรวจสอบก่อน

       ฟ้าผ่า ปี 2568 พบผู้บาดเจ็บ 50 ราย ผู้เสียชีวิต 3 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 30 - 59 ปี โดยอาชีพที่พบผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด คือ ผู้ใช้แรงงาน, เกษตรกรรม, นักเรียน นักศึกษา แนะประชาชน 1. ติดตามสภาพภูมิอากาศจากประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา 2. เมื่อฝนกำลังจะตกให้กลับเข้าที่พัก และอย่าอยู่ใกล้ผนัง ประตู หน้าต่าง 3. หากอยู่ในรถ ให้ปิดกระจกให้มิดชิด 4. ห้ามอยู่ใกล้ต้นไม้ เสาไฟฟ้าหรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ 5. หากหาที่หลบไม่ได้ให้นั่งยอง ๆ ก้มศีรษะให้ตัวอยู่ต่ำที่สุด เท้าชิดกัน และเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย ใช้มือปิดหู 6. ห้ามใช้โทรศัพท์มือถือในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง 7. ถอดปลั๊กของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือสื่อสาร ฯลฯ ในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง 8. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้อุปกรณ์ สิ่งของที่เป็นโลหะ 9. หลีกเสี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งในขณะที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง โดยเฉพาะกิจกรรมที่สัมผัสน้ำ เช่น การเล่นน้ำ เป็นต้น 10. ถ้าพบผู้ได้รับบาดเจ็บหรือผลกระทบจากการถูกฟ้าผ่า แจ้งเหตุหรือขอความช่วยเหลือได้ที่ โทร. 1669

       สัตว์มีพิษกัด ปี 2568 พบผู้บาดเจ็บ 1,387 ราย ผู้เสียชีวิต 1 ราย กลุ่มอายุที่พบผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด คือ กลุ่มอายุ 30 - 59 ปี โดยอาชีพที่พบผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด คือ คือ ผู้ใช้แรงงาน, เกษตรกรรม แนะประชาชน ควรจัดบ้านให้สะอาดไม่ให้มีมุมอับ เมื่อต้องเดินไปในบริเวณที่ชื้นหรือมืด ควรสวมรองเท้าหุ้มข้อหรือหุ้มส้นเพื่อป้องกันการถูกสัตว์มีพิษกัด ทั้งนี้ หากถูกงูพิษกัดต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที ลดการเคลื่อนไหวอวัยวะที่ถูกงูกัด และไม่ควรขันชะเนาะ เพราะอาจทำให้เนื้อเยื่อขาดเลือดเกิดเนื้อตายได้ พร้อมทั้งจดจำลักษณะชนิดของงูที่กัด เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว

ตรวจจับเร็ว ตอบโต้ทัน ป้องกันได้

 

*************************
ข้อมูลจาก : กรมควบคุมโรค
วันที่ 29 กรกฎาคม 2568


ข่าวสารอื่นๆ