สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ
Responsive image

กรมควบคุมโรค เชิญชวนประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยงมารับวัคซีนโควิด 19 เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคและลดการป่วยตาย

          กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ขอเชิญชวนประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยงมารับวัคซีนโควิด 19 เพื่อป้องกันความรุนแรงของการเกิดโรคและลดการป่วยตาย ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด 19 อย่างเคร่งครัด และเพิ่มความระมัดระวังป้องกันตนเอง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ที่พบว่าข้อมูลการศึกษาทางระบาดวิทยา ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีโรคประจำตัว และเป็นผู้สูงอายุ

            วันนี้ (19 มีนาคม 2564) นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์  อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้มีการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ที่มีคุณภาพ ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และได้ผ่านการขึ้นทะเบียน เพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉินช่วงที่มีการระบาดของโรค แต่ในระยะแรกที่มีวัคซีนจำกัด จึงได้จัดสรรวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยงมารับวัคซีนที่โรงพยาบาลที่มีความพร้อมในการให้บริการวัคซีน โดยมีการคัดกรองก่อนการรับวัคซีน และระบบติดตามภายหลังได้รับวัคซีน

            จากสถานการณ์ลักษณะทางระบาดวิทยาของกลุ่มผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ระลอกใหม่ ในช่วง 14 สัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 15 ธ.ค. 63 – 18 มี.ค. 64) พบผู้เสียชีวิต 29 ราย เป็นเพศชาย 22 ราย และเพศหญิง 7 ราย ในช่วงอายุ 31-92 ปี เฉลี่ยอายุ 64 ปี โดยพบผู้เสียชีวิตในจังหวัดสมุทรสาคร กรุงเทพฯ ตาก ปทุมธานี ระยอง ชลบุรี จันทบุรี พิจิตร สมุทรสงคราม นนทบุรี อุบลราชธานี และมหาสารคาม ซึ่งจังหวัดส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เสี่ยงในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด 19  ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 86.21  จากข้อมูลการศึกษาทางระบาดวิทยาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในระลอกใหม่นี้ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีโรคประจำตัว และเป็นผู้สูงอายุ ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่หากเจ็บป่วยแล้วอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 ได้  สำหรับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์–18 มีนาคม 2564 จำนวน 62,941 ราย และยังไม่พบผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงหลังจากได้รับวัคซีนแต่อย่างใด ส่วนอาการไม่พึงประสงค์ไม่รุนแรง 3 อันดับแรก ได้แก่ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และคลื่นไส้ ตามลำดับ ซึ่งอาการเพียงเล็กน้อยเหล่านี้จะสามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน    

            สำหรับการรับวัคซีนในช่วงระยะแรก ในช่วงเดือนมีนาคม–พฤษภาคม 2564 จะฉีดให้กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่เสี่ยงก่อน เพื่อป้องกันความรุนแรงของโรคและลดการป่วยตาย ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย เช่น ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ อสม. เป็นต้น และประชาชนที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจ มะเร็งที่อยู่ระหว่างการรักษา เป็นต้น  สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ที่จะมารับวัคซีนจะให้ฉีดของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า เนื่องจากมีผลการทดลองวิจัยในกลุ่มประชากร 18 ปีขึ้นไป โดยไม่ได้จำกัดเพดานกลุ่มอายุ และมีผู้ที่เป็นผู้สูงอายุจำนวนพอสมควรในการทดลอง จึงได้รับอนุญาตให้ในกลุ่มผู้สูงอายุได้

            นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 จะเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยเสริมการป้องกันโรค แต่ประชาชนยังต้องปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดในการป้องกันโรคโควิด 19 โดยใช้มาตรการเว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ใส่หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า 100% และสแกน “ไทยชนะ” เมื่อเข้าไปในสถานที่สาธารณะ  รวมถึงโหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” เพื่อใช้ในการติดตามไทม์ไลน์และผู้สัมผัสเสี่ยง  ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนมั่นใจในการดำเนินการเฝ้าระวังและติดตามอาการหลังรับวัคซีนป้องกันโควิด 19 ซึ่งเจ้าหน้าที่จะสังเกตและถามอาการหลังฉีดทันที, เฝ้าระวังและสังเกตอาการในสถานที่รับวัคซีน 30 นาที จากนั้นจะมีการติดตามอาการอีกในวันที่ 1, 7 และ 30 ผ่านทางไลน์ “หมอพร้อม” หรือมีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล, รพ.สต. หรือ อสม. เป็นผู้ติดตามอาการ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่รับวัคซีนควรสังเกตอาการต่อไปจนครบ 30 วันตามโปรแกรมที่กระทรวงสาธารณสุขวางไว้เพื่อความปลอดภัย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

      *******************************

ข้อมูลจาก : ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค

วันที่ 19 มีนาคม 2564


ข่าวสารอื่นๆ