สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น
Responsive image

แพทย์เตือน ภาวะเจ็บป่วยจากลมร้อน “ฮีทสโตรก” เสี่ยงอาการรุนแรง และอาจเสียชีวิตได้

               จากรณีที่ กรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 65 ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะในเวลากลางวันอุณหภูมิสูงสุดตั้งแต่ 35 องศาเซลเซียสขึ้นไป ข้อมูลจากการเฝ้าระวังการเสียชีวิตจากภาวะอากาศร้อน กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ระหว่างเดือน มีนาคม-พฤษภาคม ระหว่างปีพ.ศ.2558-2564 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากภาวะอากาศร้อน จำนวน ทั้งสิ้น 234 ราย  สาเหตุมาจากการอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดเป็นเวลานาน จนกระทั่งร่างกายปรับสภาพไม่ทัน ซึ่งจะส่งผลให้มีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ไม่มีเหงื่อออก ตัวร้อนจัด ปวดศีรษะ ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตลดลงและอาจเสียชีวิตได้ทันที

               นายแพทย์สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จ.ขอนแก่น แสดงความเป็นห่วงประชาชนที่ต้องทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน ต้องสัมผัสกับอุณหภูมิความร้อนต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงกลางวันจนถึงบ่าย อาจเกิดภาวะ ฮีทสโตรก (Heat stroke) หรือ โรคลมร้อน ซึ่งเป็นภาวะวิกฤตที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัว หรือควบคุมระดับความร้อนภายในร่างกายกระทั่งอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะ หน้ามืด ชัก หายใจเร็ว หัวใจเต้นผิดปกติ ช็อก ไม่รู้สึกตัว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เสียชีวิตได้ และขอเตือนกลุ่มเสี่ยงที่อาจได้รับอันตรายจากภาวะลมร้อน ได้แก่  1) ผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด 2) เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบและผู้สูงอายุ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีเท่าคนหนุ่มสาว  3) ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งมีปัญหาการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดเดิมอยู่แล้ว  4) คนอ้วน  5) ผู้ที่อดนอนโดยร่างกายของคนอ้วนและผู้ที่อดนอน จะตอบสนองต่อความร้อนที่ได้รับช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะในคนอ้วนจะมีไขมันใต้ผิวหนังมาก ไขมันจะเป็นฉนวนกันความร้อน ร่างกายจะเก็บความร้อนได้ดี และระบายความร้อนออกได้น้อยกว่าคนทั่วไป และ 6) ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จะทำให้เส้นเลือดฝอยที่อยู่บริเวณใต้ผิวหนังขยายตัวได้มากขึ้นส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่สูงกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มขณะเดียว กันในสภาพอากาศที่ร้อนจัด แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดได้รวดเร็ว และออกฤทธิ์กระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเลือดเร็วและแรงขึ้น มีผลทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น หัวใจต้องทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย อาจทำให้เกิดภาวะช็อคและเสียชีวิตได้   และหากอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดต่อเนื่องกันจะมีผลกระทบต่อสุขภาพ 4 ระดับ คือ 1) ทำให้ผิวหนังไหม้ 2) เป็นตะคริว เนื่องจากสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปกับเหงื่อ 3) อาการเพลียแดด เนื่องจากสูญเสียเหงื่อ เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อลดลง จะมีอาการหน้าซีด ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน หน้ามืด ตาลาย และ 4) เป็นลมร้อน (Heat Stroke) เนื่องจากได้รับความร้อนมากเป็นเวลานาน ตัวจะร้อนจัด สมองไม่สามารถควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายได้ จะมีอาการสำคัญที่ต่างจากอาการเป็นลมแดดทั่วๆไปคือ ตัวร้อนจัด ผิวหนังจะแห้ง ไม่มีเหงื่อออก มีอาการผิดปกติทางระบบประสาท เช่นเดินเซ กระสับกระส่าย หมดสติ ชีพจรเต้นเร็ว ช็อค หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้เสียชีวิตได้ การช่วยเหลือผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยจากภาวะลมร้อน ให้นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองมากขึ้น คลายชุดชั้นในและถอดเสื้อผ้าออกให้เหลือน้อยชิ้น ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ หน้าผาก ร่วมกับการใช้พัดลมช่วยเป่าระบายความร้อนหรือใช้น้ำเย็นราดตัว เพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายให้ต่ำลง และรีบส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด  

               การป้องกันอันตรายจากโรคลมร้อน  ในช่วงที่มีอากาศร้อน แนะนำให้สวมใส่เสื้อผ้าสีอ่อน ไม่หนา ระบายความร้อนได้ดี ควรอยู่ภายในบ้าน เช่นใต้ถุนบ้าน หรืออยู่ใต้ร่มไม้ ลดกิจกรรมที่ต้องออกแรงกลางแจ้ง สวมแว่นกันแดด สวมหมวกปีกกว้าง ควรดื่มน้ำมากกว่าปกติ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อย่าทิ้งเด็ก ผู้สูงอายุ หรือสัตว์เลี้ยงไว้ในรถที่จอดอยู่กลางแจ้ง ส่วนผู้ที่ออกกำลังกาย ควรเลือกออกกำลังกายในช่วงเช้าหรือช่วงเย็น เนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศไม่ร้อนมาก และควรมีการอบอุ่นร่างกายก่อนทุกครั้ง  ทั้งนี้หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

 

 

 ***********************************

ข้อมูล  : กองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค

เผยแพร่ : กลุ่มสื่อสารความเสี่ยงโรคและภัยสุขภาพ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๗ จังหวัดขอนแก่น

วันที่ 25 มีนาคม 2565


ข่าวสารอื่นๆ