เลปโตสไปโรซีส หรือโรคฉี่หนู มักพบการระบาดในฤดูฝน
โรคเลปโตสไปโรซิส หรือ ฉี่หนู เป็นโรคที่มักพบในฤดูฝนจากรายงานการเฝ้าระวังโรคเลปโตสไปโรซีสของ กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 ขอนแก่น ณ วันที่ 18 มิถุนายน 2563 พบว่า มีรายงานผู้ป่วยโรคเลปโตสไปโรซิส สะสมทั่วประเทศไทยรวม 466 ราย มีผู้เสียชีวิต 5 ราย อัตราป่วยต่อแสนประชากร คิดเป็นร้อยละ 0.70 ส่วนใหญ่พบในกลุ่มอายุ 45 – 54 ปี อาชีพที่พบผู้ป่วยสูงสุดคือ เกษตรกร การกระจายการเกิดโรคเลปโตสไปโรซีสรายภาค พบว่า ภาคกลาง มีอัตราป่วยสูงที่สุด ส่วนใหญ่พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง สำหรับสถานการณ์ในเขตสุขภาพที่ 7 (จังหวัดขอนแก่น ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และจังหวัดกาฬสินธุ์) พบรายงานผู้ป่วย 30 ราย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย อัตราป่วยต่อแสนประชากร คิดเป็นร้อยละ 0.72
สาเหตุ อาการและการป้องกัน
โรคฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) เกิดจากสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียรูปเกลียว ที่มีชื่อว่า เล็บโตสไปร่าอินเทอโรแกนส์ (Leptospira interrogans) มักพบการระบาดในหน้าฝน หรือช่วงที่มีน้ำท่วมขัง สัตว์ที่แพร่เชื้อโรคนี้ ได้แก่ พวกสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู แต่ไม่มีอาการแสดงในสัตว์ สัตว์จะเก็บเชื้อไว้ที่ไต ดังนั้นเมื่อฉี่ออกมาจะมีเชื้อนี้ปนอยู่ด้วยจึงเป็นที่มาของคำว่า “โรคฉี่หนู” นอกจากจะพบเชื้อนี้ในหนูแล้วยังพบได้ใน สุนัข วัว ควาย เชื้อโรคนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ 2 ทางคือ
- ทางตรง โดยการสัมผัสสัตว์ที่มีเชื้ออยู่ หรือ โดนสัตว์ที่มีเชื้อกัด
- ทางอ้อม เช่น เชื้อจากฉี่หนูปนอยู่ในน้ำหรือดิน แล้วเข้าสู่คนทางบาดแผล
กลุ่มบุคคลที่เสี่ยงต่อการเกิดโรค
- เกษตรกร ชาวไร่ชาวนา ชาวสวน
- คนงานฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โค สุกร ปลา
- กรรมกรขุดท่อระบายน้ำ เหมืองแร่ โรงฆ่าสัตว์
- กลุ่มอื่นๆ เช่น แพทย์ สัตวแพทย์ เจ้าหน้าที่ห้องทดลอง ทหารตำรวจที่ปฏิบัติงานตามป่าเขา
- กลุ่มประชาชนทั่วไป มักเป็นเกิดในที่มีน้ำท่วม ผู้ที่บ้านมีหนูมาก ผู้ที่ปรุงอาหารหรือรับประทานอาหารที่ไม่สุก หรือปล่อยอาหารทิ้งไว้โดยไม่ปิดฝา
- กลุ่มผู้สัมผัสแหล่งที่ทำให้เกิดโรค เช่น ผู้มีอาชีพเก็บของป่า ผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับป่าไม้ พระที่ออกธุดงภ์ รวมถึงผู้ที่ชอบเดินป่า ท่องเที่ยวตามแม่น้ำ ทะเลสาบ น้ำตกเป็นต้น
การติดต่อของโรค
- เมื่อคนสัมผัสเชื้อซึ่งอาจจะเข้าทางแผล เยื่อบุในปากหรือตา หรือแผล ผิวหนังปกติที่เปียกชื้น เชื้อก็สามารถไชผ่านไปได้เช่นกัน
- เชื้ออาจจะเข้าร่างกายโดยการดื่มหรือกินอาหารที่มีเชื้อระยะฟักตัวของโรค โดยเฉลี่ยประมาณ 10 วันหรืออยู่ระหว่าง 4-19 วัน ระยะติดต่อการติดต่อจากคนสู่คนเกิดได้น้อยมาก
อาการแสดงที่สำคัญ ได้แก่
- ภาวะเยื่อบุตาบวมแดงเกิดขึ้นในตาทั้งสองข้างภายใน3 วันแรกของโรค และอยู่ได้นานตั้งแต่ 1-7 วัน อาจจะพบร่วมกับเลือดออกที่ตาขาวข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
- กดเจ็บกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่น่อง
- มีเลือดออกแบบต่างๆ โดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง เช่นจุดเลือดออกตามผิวหนัง petechiae ผื่นเลือดออก purpuric spot เลือดออกใต้เยื่อบุตา conjunctival haemorrhage หรือเสมหะเป็นเลือด
- ผื่น อาจจะพบได้หลายแบบ ผื่นแดงราบ ผื่นแดง ผื่นลมพิษ
- อาการเหลือง อาการเหลืองมักเกิดวันที่4-6 ของโรค
การป้องกัน
- กำจัดหนูโดยการใช้กับดัก และ สวมชุดป้องกันระมัดระวังเมื่อต้องอยู่แหล่งเสี่ยงในชุมชน เช่น ยุ้งฉางข้าว ห้องครัว ห้องเก็บของ เป็นต้น
- ควรสวมชุดป้องกัน เช่น รองเท้าบู๊ท ถุงมือ ถุงเท้า เสื้อผ้า
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่เป็นพาหะ ของโรคดังกล่าว
- หลีกเลียงการว่ายน้ำที่อาจจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่
- หลีกเลี่ยงไม่ไปสัมผัสปัสสาวะโค กระบือ หนู สุกร และไม่ใช้แหล่งน้ำที่สงสัยว่าอาจปนเปื้อนเชื้อ หลีกเลี่ยงอาหารที่ปล่อยค้างคืน โดยไม่มีภาชนะปกปิด เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการทำงานในน้ำหรือต้องลุยน้ำ ลุยโคลนเป็นเวลานานๆ
- ควรทำความสะอาดร่างกายโดยเร็วหากแช่ หรือ ยำลงไปในแหล่งน้ำที่สงสัยว่าอาจปนเปื้อนเชื้อ
***************************************************
ข้อมูล : กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กองระบาดวิทยา สคร.7 ขอนแก่น
http://envocc.ddc.moph.go.th/contents/view/77 กองโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม
ผู้รวบรวม: นางสาวสุภัทรา พิมหานาม จพ.สาธารณสุขชำนาญงาน กลุ่มสื่อสารความเสี่ยงโรคและภัยสุขภาพ