องค์การอนามัยโลก กำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันเอดส์โลก เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ ส่งเสริมให้สังคมเข้าใจ ยอมรับ และอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างไม่ตีตรา ในปีนี้ได้กำหนดแนวคิดการรณรงค์ คือ “Overcoming disruption, transforming the AIDS response: ก้าวข้ามวิกฤต พลิกโฉมงานเอดส์” เพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วนในการยืนหยัดและผลักดันการดำเนินงานเอชไอวีให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง และนำไปสู่เป้าหมายการยุติปัญหาเอดส์อย่างยั่งยืน
นางอินท์ฉัตร สุขเกษม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา กล่าวว่า ประเทศไทยเร่งรัดการยุติปัญหาเอดส์ให้สำเร็จภายในปี 2573 ตามเป้าหมาย 3 ประการ “ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา” โดยมุ่งหวังลดผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ไม่เกิน 1,000 รายต่อปี ลดการเสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ไม่เกิน 4,000 รายต่อปี และลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศภาวะลงเหลือไม่เกินร้อยละ 10 ปัจจุบันสถานการณ์เอชไอวีในประเทศไทยในปี 2567 คาดว่ามีผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ 565,598 คน ผู้เสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ 9,067 คน และผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 8,124 คน โดยร้อยละ 96.4 ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินงานสร้างความตระหนักในการป้องกัน เพื่อให้ทุกคนเห็นความสำคัญ และสามารถป้องกันตนเองได้อย่างเหมาะสม
นางอินท์ฉัตร สุขเกษม กล่าวต่อไปว่า กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน มุ่งขับเคลื่อนงานเอชไอวี/เอดส์ เชิงรุกครอบคลุมทั้งการป้องกัน การตรวจคัดกรอง และการดูแลรักษา พร้อมก้าวข้ามข้อจำกัด พลิกโฉมระบบบริการด้านเอชไอวีให้มีการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง ยั่งยืน และเท่าเทียม โดยเน้นการสร้างความเข้าใจให้ประชาชน “รอบรู้เรื่องสิทธิ ป้องกันรอบด้าน เลือกได้ตามวิถีที่ต้องการ” ดังนี้
1.รอบรู้เรื่องสิทธิ
คนไทยทุกคนมีสิทธิประโยชน์ด้านเอชไอวีฟรี ทั้งด้านการป้องกัน การตรวจคัดกรอง และการดูแลรักษา
ป้องกันฟรี
ถุงยางอนามัย รับได้ที่หน่วยบริการสาธารณสุข โรงพยาบาลของรัฐ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล
องค์กรภาคประชาสังคม ร้านขายยา หรือผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง
เพร็พ หรือยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP) รับบริการได้ที่หน่วยบริการสุขภาพที่ร่วมจัดบริการกับ สปสช. สามารถค้นหาพิกัดรับยาได้ที่ https://shorturl-ddc.moph.go.th/JexTH
เป๊ป หรือยาป้องกันหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (Post-Exposure Prophylaxis: PEP) รับบริการได้ที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง ไม่จำกัดจำนวนครั้งการให้บริการ
ตรวจฟรี
ตรวจเอชไอวีฟรี ปีละ 2 ครั้ง ได้ที่โรงพยาบาลภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติทั่วประเทศ
ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV self-test) รับฟรีได้ที่หน่วยบริการที่ขึ้นทะเบียนกับ สปสช. หน่วยบริการภาคประชาสังคม หรือผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง
รักษาฟรี
ด้วยยาต้านเอชไอวีแบบรวมเม็ด (ARV) เริ่มยาได้ทันทีในวันที่ทราบผลการติดเชื้อ หรือโดยเร็วที่สุด ที่โรงพยาบาลตามสิทธิการรักษา
กินยาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ จะช่วยกดปริมาณไวรัสในเลือดให้ต่ำกว่า 200 copies/ml หรืออยู่ในระดับที่ตรวจไม่พบเชื้อ (Undetectable) และไม่ถ่ายทอดเชื้อให้ผู้อื่น (Untransmittable) ลดโอกาสการเจ็บป่วยด้วยโรคแทรกซ้อน มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี
2.ป้องกันรอบด้าน เลือกได้ตามวิถีที่ต้องการ
ทางเลือกในการป้องกันที่ทุกคนเลือกได้ ตามความเสี่ยงของตนเอง เพื่อความปลอดภัยด้วย ถุงยางอนามัย เพร็พ เป๊ป
ใช้ถุงยางอนามัย ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับทุกคน ทุกช่องทาง ป้องกันทั้งเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ และเลือก - เก็บ - ใช้ - ทิ้ง ให้ถูกวิธี เพื่อการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ
เพร็พ หรือยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP) เหมาะสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อเอชไอวีเป็นประจำ เช่น ผู้ที่คู่นอนมีเชื้อเอชไอวี ผู้ที่ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ก่อนเริ่มยาต้องตรวจยืนยันว่าไม่ติดเชื้อเอชไอวี มีทั้งรูปแบบกินทุกวัน (Daily) และแบบกินเฉพาะช่วง (On Demand) อย่างไรก็ตาม PrEP สามารถป้องกันได้เฉพาะเอชไอวีเท่านั้น ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้ จึงควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วยทุกครั้ง เพื่อการป้องกันอย่างครอบคลุม
เป๊ป หรือยาป้องกันหลังการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (Post-Exposure Prophylaxis: PEP) ใช้สำหรับป้องกันหลังสัมผัสความเสี่ยง เช่น ถูกเข็มที่มีเลือดเจาะตำ เลือดหรือน้ำคัดหลั่งกระเด็นเข้าตา ปาก หรือบาดแผล ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือถุงยางอนามัยแตก โดยควรเริ่มกินยาให้เร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ และกินอย่างต่อเนื่องตรงเวลาจนครบ 28 วัน
การดำเนินงานยุติเอดส์ในประเทศไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคประชาสังคม องค์กร ชุมชน และประชาชนทุกคนร่วมกัน “ก้าวข้ามวิกฤติ” ด้วยพลังการมีส่วนร่วม และ “พลิกโฉมงานเอดส์” ด้วยระบบริการ ที่เข้าถึงและเท่าเทียม เพื่อขับเคลื่อนการป้องกันเชิงรุก สร้างพฤติกรรมป้องกันที่เหมาะสม ให้ทุกคนรอบรู้สิทธิ ตรวจเมื่อเสี่ยง รักษาทันทีเมื่อพบเชื้อ เพื่อเป้าหมายในการลดผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ลดการเสียชีวิตจากเอดส์ การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี มุ่งสู่การยุติเอดส์ภายในปี 2573 อย่างยั่งยืน
ดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม : เอกสาร